ที่ ธนาคารกรุงไทย... ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ พิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่สมบูรณ์แบบอย่างเขามีจริง หลังได้รับความไว้วางใจจากผู้ถือหุ้นและบอร์ดให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 ยาวนานถึง 12 ปี
ในนิยามของการกำกับดูแลกิจการที่ดี Corporate Governance ของภาครัฐและภาคธุรกิจนั้น ส่วนใหญ่มักเขียนขึ้นตามคัมภีร์เดียวกันคือ ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รับผิดชอบต่อสังคม ดำเนินกิจการอย่างยั่งยืน มั่นคง และมีธรรมาภิบาล
แต่เอาเข้าจริงๆใครจะรู้ล่ะว่าผู้กำกับดูแลกิจการนั้นๆเดินตามฟอร์แมตที่ถูกวางไว้ได้จริงหรือไม่ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในการผลักดันให้กิจการนั้นก้าวไปข้างหน้าอย่างสมบูรณ์ตามเป้าหมาย
ที่ ธนาคารกรุงไทย... ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ พิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่สมบูรณ์แบบอย่างเขามีจริง หลังได้รับความไว้วางใจจากผู้ถือหุ้นและบอร์ดให้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 ยาวนานถึง 12 ปี และโดยเหตุเพราะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังถือหุ้นกรุงไทยอยู่ร้อยละ 55 (ถือผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF) กรุงไทยจึงได้ชื่อว่าเป็น ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
มีผลให้ ผยง ศรีวณิช ต้องทำหน้าที่วางรากฐานสำคัญให้กรุงไทยเติบโตบนอัตลักษณ์ของการเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่มีบทบาทมากกว่าการทำธุรกิจทั่วไป เพื่อเชื่อมโยงบริการทางการเงินระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประชาชน ให้ดำเนินไปได้อย่างครบวงจร
จากจุดเริ่มต้นของความท้าทาย สู่ความเสี่ยง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกรุงไทยจึงผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่ใน 3 ระยะสำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านจากธนาคารแบบดั้งเดิม สู่การเป็นธนาคารที่สามารถตอบโจทย์ของอนาคตได้อย่างแท้จริง
ในอาณาจักรที่เรียกว่า Galaxy of Krungthai... ผยง ศรีวณิช ลำดับการทำงานของเขาในการปฏิรูปกรุงไทย เฟสแรกให้มีการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะพอร์ตสินเชื่อโรงสีข้าวที่เคยมีจำนวนมาก ด้วยการตัดหนี้สูญไปกว่า 70,000 ล้านบาทจนถึงปัจจุบันสามารถลดสัดส่วนสินเชื่อกลุ่มนี้ลงเหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
ในเฟสที่สอง วางยุทธศาสตร์ธนาคารเข้าสู่ระบบ Open Finance เปิดแพลตฟอร์มทางการเงินเข้าระบบ Digital Transformation เพื่อเชื่อมโยงบริการภาครัฐ ธุรกิจ และประชาชนผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรียกว่า “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” ให้เข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันคนไทยอย่างแท้จริง
เฟสที่สาม ขยายตัวสู่ธุรกิจใหม่ (Future Business) โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทำธุรกิจ Virtual Bank หรือธนาคารไร้สาขาเป็นครั้งแรก ขยายบทบาทของธนาคารดิจิทัลให้มากขึ้น
ภายใต้ระบบนิเวศหลัก 5 ประการ (5 Ecosystems) อันเป็นแนวทางสำคัญให้กรุงไทยเดินหน้าต่อไปในระบบการชำระเงิน ระบบภาครัฐ ระบบขนส่งมวลชน ระบบการศึกษา ไปจนถึงระบบสุขภาพ และการรักษาพยาบาลนั้น
ฟังดูช่างเวียนหัว แต่ผลที่ได้จะทำให้คนไทยได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการที่กรุงไทยสามารถทำหน้าที่เชื่อมโยงโครงการของรัฐสู่มือประชาชนได้อย่างไร้รอยต่อในทุกๆโครงการ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง ที่รัฐจัดสรรงบประมาณส่งต่อไปยังผู้ประกอบการโรงแรม ร้านค้า และนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจ
แนวคิดการเชื่อมโยงทุกจุดเข้าด้วยกัน (Connect the Dots) ที่ได้รับการวางรากฐานทางดิจิทัลมาอย่างแข็งแกร่งนี้ ยังรวมไปถึง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และประชาชนผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงระบบการเงินดิจิทัลได้ ด้วยการลงไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จริงๆ
เช่นเดียวกับการเข้าไปมีบทบาทร่วมกับโครงการของ UNDP บนเกาะเต่า เพื่อช่วยเหลือชาวประมง คนขับเรือ และคนตกงานในช่วงโควิด ด้วยการจ้างงานวันละ 200 บาท ให้ช่วยกันทำความสะอาดท้องทะเล โดยมีการระดมทุนจากทั่วโลกผ่าน UNDP
รวมทั้งการนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยขับเคลื่อนภาครัฐ และสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการให้ความร่วมมือกับแพทยสภา นำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในระบบสาธารณสุข เป็นการพัฒนาระบบการส่งต่อข้อมูลคนไข้ระหว่างโรงพยาบาล การสั่งยาในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดขั้นตอนความยุ่งยาก เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน
ความมุ่งมั่นของ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลระบบธนาคารยังนำพากรุงไทยไปทำประโยชน์ต่อได้ในอีกหลายด้าน เช่นยกระดับการศึกษาในโครงการ Smart University
จัดการระบบ e–Court และ e–Filing ให้สามารถยื่นฟ้องศาลผ่านออนไลน์ได้ หรืออย่างโครงการ One Baht Bond ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนตั้งแต่วัยรุ่นอายุ 15 ปี ไปจนถึงผู้สูงอายุวัย 90 ปี ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ด้วยเงินเพียง 1 บาท เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงการออม และการลงทุนอย่างเท่าเทียม
ขณะที่การพัฒนาระบบ Krungthai NEXT ยังสามารถใช้กับผู้พิการทางสายตาให้สามารถใช้แอปผ่านระบบเสียงและการสัมผัสได้อย่างสะดวกด้วย โดยโครงการนี้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากวุฒิสภามาแล้ว
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงรากฐานที่กรุงไทยมุ่งมั่นดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ต้องเป็นมากกว่าธนาคารพาณิชย์ของรัฐ หากแต่ยังต้องมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และยกระดับชีวิตของประชาชนคนไทยด้วย
ในมิติของการสร้างมูลค่าทางธุรกิจและประโยชน์ต่อสังคมควบคู่กันไป ผยง ศรีวณิช ยังให้แนวคิด Do Well=Do Good ในการร่วมกันสร้างมูลค่า และการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นและรัฐเพิ่มขึ้น จนสามารถข้ามผ่านวิกฤติต่างๆไปได้ และได้รับการขึ้นอันดับเครดิตจาก S&P ในเสถียรภาพทางการเงินและความเชื่อมั่นในอนาคต
การทำดีได้ดียังส่งให้ผลประกอบการของกรุงไทยมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงของฐานะ และวินัยในการบริหารความเสี่ยง แม้เศรษฐกิจจะยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยรอบด้านก็ตาม
สำหรับยุทธศาสตร์ปี 2568 ธนาคารกรุงไทยยังคงมุ่งขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด “Coperate Value Creation : เสริมสร้างทักษะ คุณค่า สู่อนาคต” ให้แก่พนักงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพใน 5 ยุทธศาสตร์ เพื่อสอดรับบริบทใหม่ของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เริ่มต้นจาก 1.สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลกำไรจากระบบนิเวศธุรกิจของธนาคารอย่างเต็มประสิทธิภาพ 2.สร้างแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมการเติบโตในอนาคตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร และทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นเข้าถึงแหล่งเงินทุน และบริการทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น เช่น Wealth-Tech Virtual Banking, Banking as a Service
3.ยกระดับการให้บริหารลูกค้าทั้งระบบแบบ End to End นำเสนอรูปแบบและการบริการใหม่ที่ทันสมัย รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นจนจบด้วยกระบวนการ Process Digitalization
4.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและข้อมูลให้พร้อมสำหรับก้าวสู่อนาคตด้วยความแข็งแกร่งด้าน Data Analytics และ 5.ขับเคลื่อนวัฒนธรรม และการทำงานรูปแบบใหม่ เพื่อให้พร้อมต่อทุกความท้าทายและทุกการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนสามารถดึงดูดและรักษาคนดี คนเก่งให้คงอยู่กับธนาคารที่เป็นต้นแบบให้พนักงานทุกคนภาคภูมิใจ
คงเหมือนๆกับที่ธนาคารกรุงไทยได้ ผยง ศรีวณิช เป็นผู้นำองค์กร.
ทีมเศรษฐกิจ
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม