จุดเปลี่ยนของดุสิตธานี เมื่อ “ศุภจี” ลงจากตำแหน่ง ตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” ควบซีอีโอกลุ่ม

Business & Marketing

Corporates & Leadership

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จุดเปลี่ยนของดุสิตธานี เมื่อ “ศุภจี” ลงจากตำแหน่ง ตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” ควบซีอีโอกลุ่ม

Date Time: 12 ก.ย. 2568 18:36 น.

Video

หุ้นถูกมีจริง! เลือกหุ้นปันผลและหุ้นเติบโตยังไงให้รวยในยุคนี้? | Thairath Money Night Stand EP.12

Summary

เปลี่ยนผ่าน "ดุสิตธานี" เมื่อ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอกลุ่มและกรรมการ และมีการแต่งตั้ง "ชนินทธ์ โทณวณิก" รักษาการประธานกรรมการควบตำแหน่งซีอีโอกลุ่มแทน

Latest


บรรยากาศคุกกรุ่นมาตั้งแต่กลางปีเมื่อ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ต้องเจอปมขัดแย้งของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ดูเหมือนจะคลี่คลายลงได้นำสู่การแถลงข่าวเมื่อ 12 กันยายน 2568 เพื่อบอกเล่าว่า “ดุสิตธานี” จะไปทางไหนหลังจาก “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (ซีอีโอกลุ่ม) และกรรมการบริหาร โดยมีการแต่งตั้ง “ชนินทธ์ โทณวณิก” รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งซีอีโอกลุ่มแทน

ถ้าเราย้อนดูรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ระบุว่า สาเหตุที่ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอกลุ่มและกรรมการ เนื่องจากติดภารกิจอื่นที่ต้องอุทิศตนในการทำงานเต็มเวลา ซึ่งนั่นก็คือ การเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน “ครม.อนุทิน 1”

ฝั่งชนินทธ์ โทณวณิก เล่าถึงเรื่องนี้บนเวทีว่า “ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทางคุณศุภจี ว่าที่รัฐมนตรีฯ และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของดุสิตธานีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าดุสิตธานีเรามีความตั้งมั่นที่จะช่วยสังคมมาตลอดตามเป้าประสงค์แรกของคุณแม่ (ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย)”


ย้อนมองภาพรวม และภาพต่อไปของ “ดุสิตธานี”

บนเวทีวันนี้ ชนินทธ์ โทณวณิก ได้เล่าย้อนถึง ภาพรวมที่ผ่านมาของดุสิตธานีตามประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลว่า บริษัทมีปัญหา ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลมานาน 5 ปี รวมไปถึงการขาดทุนสะสมมากกว่าพันล้านบาทว่า “จริง ๆ ผมคิดว่าเราทำได้ดีมากเลย เราเป็นบริษัทโรงแรมเดียวที่ไม่ได้เพิ่มทุน เราเป็นบริษัทโรงแรมเดียวที่ทำโครงการใหญ่มาก ถ้าเปรียบเทียบกับทุนจดทะเบียนที่เรามีอยู่” 

พร้อมกับเล่าต่อว่า ที่ผ่านมาได้เล็งเห็นว่าโรงแรมดุสิตธานีควรมีการเปลี่ยนแปลง เลยตัดสินใจสร้างตำนานบทใหม่ต่อยอดจากบทเดิม คือการลงทุนกว่า 46,000 ล้านบาทปั้น “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ขึ้นมาบนทำเลเดิมที่ตั้งโรงแรมที่มีมาแล้วกว่า 50 ปี เพื่อสร้างเป็นพื้นที่ Mixed-Use ต่อยอดจากเดิมที่มีแค่โรงแรม เป็นการสร้างพื้นที่ใหม่ให้มีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า ตัวออฟฟิศ ตลอดจนคอนโดมิเนียม หรือเรสซิเดนซ์ 

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือช่วงที่ทำโครงการฯ กลับต้องเจอกับปัญหาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้โครงการล่าช้ากว่ากำหนดเดิมประมาณ 2 ปี จึงเป็นเหตุให้ขาดทุนเพราะภาระดอกเบี้ย และมีการปรับแผนในหลายด้านเพื่อประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยในช่วงนั้นสามารถขายส่วนเรสซิเดนซ์ได้ถึง 46% 

ปัจจุบัน ดุสิตธานีมีการขยายธุรกิจใน 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการอื่น ๆ โดยทั้งหมดนี้ปรับเปลี่ยนมาเพื่อให้บริษัทไม่ต้องพึ่งพารายได้จากโรงแรมเพียงทางเดียว และมุ่งไปที่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ชนินทธ์ กล่าวว่า “คาดว่าภายในปี 2569 หนี้สินของบริษัทเกือบทั้งหมดจะหมดไป จากรายได้ของโครงการเรสซิเดนซ์ และหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี คาดว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาขาดทุนสะสมได้ทั้งหมด ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทกลับมาแข็งแกร่ง โดยบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ก้อนใหญ่จากการโอนคอนโดที่ขายไปแล้วกว่า 94% ซึ่งตีเป็นมูลค่าเกือบ 17,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปลายปี 2568 และส่วนใหญ่ในปี 2569

โดยสรุปแล้ว ในปี 2568 และ 2569 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของดุสิตธานี ที่จะเปลี่ยนจากช่วงที่เน้นการลงทุนและต้องเผชิญผลขาดทุน ไปสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวกำไร ล้างหนี้สิน และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง เพื่อเติบโตต่อไปในอนาคต โดยมีโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นพระเอกสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จนี้


เกือบ 10 ปีที่ทำงานกับ “ดุสิตธานี” และบทบาทใหม่

อดีตซีอีโอกลุ่มของดุสิตธานี “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” เริ่มต้นกล่าวขอบคุณการทำงานตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมากับดุสิตธานี โดยเล่าต่อว่า ที่ผ่านมาเป็นการทำงานนั้นไม่ง่าย แม้เราจะวางแผนทางธุรกิจมาอย่างรอบด้านโดยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 

  • ในช่วง 3 ปีแรกสร้างพื้นฐานใหม่ของธุรกิจ เพื่อที่จะรองรับการเติบโตตามเส้นทางที่เราจะไปในอนาคต 
  • ช่วง 3 ปีถัดมา คือการสร้างเครื่องยนต์ใหม่ ๆ เพื่อจะทำให้เรามีรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโครงการหลักของเราก็คือตัวดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค 
  • ช่วง 3 ปีสุดท้าย คือการ Take Off ไปเต็มที่ ติดลมบน และกลายเป็น New Chapter ของดุสิตธานี 

แต่แล้วกลับมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นั่นคือบังเอิญในช่วง 3 ปีตรงกลางกลับต้องมาเจอกับวิกฤตโควิด  “เลยส่งผลให้ Take Off ได้ช้า แถมยังต้องเจอความขรุขระของหลุมอากาศ” ศุภจีกล่าว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ดุสิตธานีก็สามารถผ่านช่วงนั้นมาได้ และในปีถัดไปคาดว่า New Chapter จะเกิดขึ้นจริง ๆ และดุสิตธานีอาจทำกำไรได้ 

รายได้ของดุสิตธานี ปี 2567 รวมอยู่ที่ 11,204 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนถึงกว่าเท่าตัว จากปี 2557 ที่ดุสิตธานีมีรายได้รวม 5,370 ล้านบาท

ส่วนในกรณีที่ถูกทาบทามให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน ครม.อนุทิน 1 นั้น ศุภจีเล่าว่ามีเหตุผลอยู่ 2 ประการที่ทำให้ตัดสินใจตอบตกลง คือ


1. ต้องการนำประสบการณ์มาช่วยประเทศในช่วงเวลาที่ท้าทาย

ศุภจี มองว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างมาก เธอจึงคิดว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการทำงานในองค์กรระดับโลกอย่าง IBM, ไทยคมที่ได้ดูแลในระดับมหภาค และการบริหารแบรนด์ไทยที่ดุสิตธานี น่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยประเทศได้ โดยเฉพาะการสร้างรายได้ใหม่ ๆ และการเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาปากท้องและสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศโดยรวม


2. เป็นภารกิจระยะสั้นและมีกรอบเวลาชัดเจน

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ศุภจีตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมาก เพราะทราบดีว่ารัฐบาลชุดนี้มีวาระการทำงานที่สั้น ประเมินว่าจะมีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ประมาณ 4 เดือน และรวมเวลาทั้งหมดจนถึงการเลือกตั้งก็ประมาณ 7-8 เดือนเท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่แวดวงการเมืองแบบถาวร เมื่อจบภารกิจแล้วเธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามเดิมได้ และหนึ่งในการใช้ชีวิตตามเดิมคือ การกลับมาเป็นซีอีโอกลุ่มของดุสิตธานีอีกครั้ง

ก่อนจะจบการแถลงข่าว ชนินทธ์ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “เพราะผมทราบมาว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ไม่นาน เพราะเขาสัญญาแล้วว่าเขาจะมีการเลือกตั้งใหม่ โดยคาดว่าจะอยู่ทำงานที่ราว 6-8 เดือน ดังนั้น ตอนนี้การที่ผมขึ้นมารับตำแหน่งซีอีโอกลุ่ม จะคล้าย ๆ กับการมารักษาการสักพักหนึ่ง แล้วก็รอคุณศุภจี”

ด้านศุภจีก็กล่าวต่อแบบติดตลกว่า “ยังแอบน้อยใจอยู่เลยที่ทำงานในช่วงที่ยากมาก ๆ มา แล้วตอนนี้ที่มันเสร็จแล้วก็ได้คุณชนินทธ์มารับช่วงต่อ เดี๋ยวพอจบภารกิจ (ในตำแหน่งรมว.) ซึ่งไม่นาน จะมาของานใหม่นะคะ”

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกประเด็นที่กำลังเป็นที่จับตามอง คือเรื่อง “ความขัดแย้งภายในของดุสิตธานี” ที่หลายฝ่ายพยายามจะหาคำตอบว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร แต่ด้าน ชนินทธ์ โทณวณิก ที่ตอนนี้เข้ามาควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มด้วย ยืนยันเพียงแค่ว่า “อยากให้ทุกท่านเชื่อมั่นในดุสิตธานี ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะจบลงได้ด้วยดี ตอนนี้เรากำลังโฟกัสเรื่องของความต่อเนื่องของการดำเนินธุรกิจ และสิ่งที่วางรากฐานไว้มันก็ไม่มีอะไรสะดุดหรือหยุดนิ่งอยู่แล้ว”


ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ