การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ภาคค้าปลีก และการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อขยายธุรกิจ เป็นปัจจัยที่ทำให้ความต้องการส่งด่วน EMS ในประเทศเติบโต ตลอดปี 2567 มีปริมาณงานการขนส่งเติบโตจากปี 2566 คิดเป็น 6.99% และเป็นสัดส่วน 42.76% ของรายได้ไปรษณีย์ไทยทั้งหมด
นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ภาคค้าปลีก และการใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อขยายธุรกิจ เป็นปัจจัยที่ทำให้ความต้องการส่งด่วน EMS ในประเทศเติบโต ตลอดปี 2567 มีปริมาณงานการขนส่งเติบโตจากปี 2566 คิดเป็น 6.99% และเป็นสัดส่วน 42.76% ของรายได้ไปรษณีย์ไทยทั้งหมด ซึ่งกลุ่มสินค้าที่ใช้บริการส่งด่วนกับไปรษณีย์ไทยสูงสุด คือ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์แม่และเด็ก เฟอร์นิเจอร์ เอกสาร หนังสือ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป สอดคล้องกับการเติบโตในตลาดและกลุ่มผู้บริโภค การแข่งขันของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ รวมทั้งกลุ่มอาหารที่มาจากท้องถิ่น
“คาดว่าปีนี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซโลกจะโต 19% ในมูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไปรษณีย์พร้อมแข่งขันและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจรายย่อย เอสเอ็มอี และกลุ่มผู้ค้าอีคอมเมิร์ซ โดยช่วยควบคุมต้นทุนการขนส่ง เพราะ EMS จะคิดค่าส่งจริงตามน้ำหนัก ราคาที่เท่ากันทุกพื้นที่ การันตีระยะเวลาการขนส่ง 1 – 2 วัน มีการปรับแต่งระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ Parcel Defined Logistics ไม่ว่าจะเป็น สิ่งมีชีวิต เช่น ปลาสวยงาม ของชิ้นใหญ่ไซส์จัมโบ้ ที่มีพิกัดน้ำหนักมากถึง 200 กิโลกรัม เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถจักรยานยนต์ ต้นไม้ สินค้าที่มีมูลค่าสูง ยาและเวชภัณฑ์ งานศิลปหัตถกรรมไทย ผลไม้และพืชผลทางการเกษตร และฟังก์ชันตรวจสอบสถานะที่มีความเรียลไทม์แม่นยำ 100%”
ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการส่งด่วนกว่า 50,000 แห่ง รวมทั้งเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ 25,000 คน ศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ 20 แห่ง ที่มีกระบวนการคัดแยกรองรับพัสดุได้ต่อวันรวมกว่า 6 ล้านชิ้น