สะเทือนวงการกาแฟ! เนสท์เล่-มหากิจศิริ ปมขัดแย้งร่วมทุน 34 ปี ส่อปิดตำนาน “เนสกาแฟ” เมืองไทย ที่อาจไร้กลิ่นหอมของกาแฟ
กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงวงกว้าง จากกรณีข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างเนสท์เล่และบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด หรือ QCP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และกลุ่มมหากิจศิริ ถือหุ้นร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2533 แบบ 50/50 โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 500,000,000 บาท
ภายใต้สัญญานี้ เนสท์เล่มีอำนาจบริหาร ผลิตและจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ ต่อมาในปี 2564 เนสท์เล่แจ้งยุติสัญญาการให้สิทธิผลิตกับ QCP และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2567
แต่หลังจากสัญญายุติ ผู้ถือหุ้นของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทฯ ได้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายขาดสะบั้นลง
ตามมาด้วยกรณีฟ้องร้องโดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้น QCP ที่ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ฝั่งเนสท์เล่เคลื่อนไหวโดยออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อผลกระทบในวงกว้างจากคำสั่งศาลแพ่งมีนบุรีที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามบริษัทผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย
โดยระบุว่าคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่ได้มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาล แต่ยืนยันให้ความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และปฏิบัติตามคำสั่งศาล พร้อมดำเนินการยื่นคัดค้านและนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อขอให้มีการพิจารณาใหม่
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังระบุอีกว่า คำสั่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงผู้ประกอบการรายย่อย ร้านกาแฟขนาดเล็ก ซัพพลายเออร์ เกษตรกรไทยผู้ปลูกกาแฟและเกษตรกรโคนมในประเทศที่จัดส่งวัตถุดิบให้กับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยแต่ละปี เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในไทยมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณผลผลิตรวมของประเทศ
ในแถลงการณ์ยังระบุว่า “คำสั่งห้ามผลิตในประเทศ ทำให้ร้านค้าปลีกจำนวนมากไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติม และอาจกระทบต่อรสชาติและความต่อเนื่องทางธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยอย่างมีนัยสำคัญ”
ล่าสุด “เนสท์เล่” ยืนยันที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ ผ่านการดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง
ทั้งนี้ เนสท์เล่เป็นยักษ์ใหญ่อาหารและเครื่องดื่มโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอกว่า 2,000 แบรนด์ และสินค้าตลาดกว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยเนสท์เล่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 130 ปี และได้ลงทุนในไทยไปแล้วกว่า 22,800 ล้านบาท ในระหว่างปี 2561-2567
นั่นจึงทำให้เราต้องจับตาดูกันต่อไปว่าสมรภูมิในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร ทางออกที่ดีที่สุด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร ผู้บริโภค และพ่อค้าแม่ค้า จะได้รับคำตอบอย่างไรก็ต้องคงติดตามกันต่อไป
อ่านข่าวการตลาด และเทรนด์ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney