โรงเรียนนานาชาติโตกระโดด!!

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

โรงเรียนนานาชาติโตกระโดด!!

Date Time: 3 มิ.ย. 2568 05:15 น.

Summary

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลจากคลังข้อมูลธุรกิจ DBD DataWarehouse+ ณ วันที่ 30 เม.ย.68 ธุรกิจการศึกษาในไทย ทั้งที่เป็นโรงเรียนเอกชนไทย และโรงเรียนนานาชาติ รวม 7,511 ราย ทุนจดทะเบียน 50,633.46 ล้านบาท

Latest

เดิมพันครั้งใหญ่ SCB บอกเล่าถึง"ความอยู่รอด"ของธนาคารเก่าแก่ 100 ปี ในวันที่ AI และDigital กลืนกิน

ในขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยลดลงทุกปี จนส่งผลให้โรงเรียน ทั้งของรัฐบาล และเอกชน มีจำนวนนักเรียนลดลง และบางแห่งถึงขั้นต้องปิดโรงเรียน

แต่โรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนอินเตอร์ฯ (International School) กลับเฟื่องฟู!! ทั้งที่ค่าเทอมแพงกว่าโรงเรียนไทยหลายเท่า มีโรงเรียนอินเตอร์ฯเปิดใหม่ทุกปี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ อย่างกรุงเทพฯ นนทบุรี เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต ฯลฯ โดย 10 อันดับแรก ที่ค่าเทอมแพงสุด จะอยู่ที่ 905,300-1.11 ล้านบาท/ปี

“นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เล่าว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลจากคลังข้อมูลธุรกิจ DBD DataWarehouse+ ณ วันที่ 30 เม.ย.68 ธุรกิจการศึกษาในไทย ทั้งที่เป็นโรงเรียนเอกชนไทย และโรงเรียนนานาชาติ รวม 7,511 ราย ทุนจดทะเบียน 50,633.46 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนนานาชาติที่ลงทุนโดยคนไทย และต่างชาติ 257 แห่ง มีเงินลงทุนของต่างชาติ 5,733 ล้านบาท

ประเทศที่ลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อังกฤษ สัดส่วน 30% ทุนจดทะเบียน 1,706 ล้านบาท ตามด้วยจีน 11% ทุนจดทะเบียน 636 ล้านบาท และสิงคโปร์ 7% ทุนจดทะเบียน 428 ล้านบาท

จากการวิเคราะห์โรงเรียนนานาชาติ 20 แห่งที่จดทะเบียนนิติบุคคลช่วง 5 ปี (ปี 63-67) แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และมีรายได้ลดลง แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ธุรกิจมีรายได้และกำไรเติบโตมาก

โดยปี 65 มีรายได้ 5,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ถึง 6.57% กำไร 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.75%, ปี 66 รายได้พุ่งเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่มจากปี 65 ถึง 28.04% กำไร 1,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.28% และปี 67 รายได้ 8,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.45% กำไร 1,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.08%

โรงเรียนที่มีรายได้สูงสุด 5 อันดับแรกปี 67 (มีค่าเทอมระดับกลางๆ 569,700-789,300 บาท/ปี) คือ 1.St.Andrews รายได้ 1,674 ล้านบาท เสียภาษีเงินได้ 1.32 ล้านบาท 2.SISB Bangkok รายได้ 992 ล้านบาท เสียภาษี 6.30 ล้านบาท 3.Brighton Bangkok รายได้ 867 ล้านบาท เสียภาษี 239,619 บาท 4.Regents Pattaya รายได้ 805 ล้านบาท ไม่เสียภาษี 5.Concordian รายได้ 781 ล้านบาท ไม่เสียภาษี

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 68 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติจะสูงถึง 95,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่ประเมินไว้ที่ 85,000 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด มาจากกลุ่มผู้ปกครองรายได้สูง มักส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนนานาชาติแทนการส่งไปต่างประเทศ โดยหวังให้บุตรหลานเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทั้งการเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรมที่หลากหลาย และทักษะที่จำเป็นในอนาคต

 เนื่องจากโรงเรียนอินเตอร์ฯในไทยถูกกว่าไปเรียนต่างประเทศมาก อีกทั้งคุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับสูง มีมาตรฐานสากล หลักสูตรสอดคล้องกับโลกอนาคต เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเขียน Coding เพิ่มการเรียนภาษาที่ 3 เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งบุคลากรมีความพร้อม มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างเช่นโรงเรียนอินเตอร์ฯในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แข่งขันกันพัฒนาหลักสูตรที่สอดรับกับ Mega Trend เช่น ดิจิทัล การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค จึงมีหลักสูตร Data Science, Coding, การบริหารจัดการธุรกิจ และหลักสูตรเชิงวิชาชีพ เพื่อให้ตอบรับกับตลาดแรงงานในพื้นที่

นอกจากนี้ยังเป็นการ “เลือกสังคม” และ “สร้างเครือข่าย” ที่ดี อีกทั้งทำให้เข้าถึงเครือข่ายระดับโลก และโอกาสพัฒนาทักษะระดับสากล เพราะบางโรงเรียนส่งนักเรียนไปฝึกงานในหน่วยงาน หรือองค์กรทั้งในและต่างประเทศ ผู้ปกครองจึงยอมจ่ายแพง ลงทุนด้านการศึกษา

รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของคนต่างชาติที่เข้ามาทำงาน ทำธุรกิจในไทย หรือแม้กระทั่งเศรษฐีจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว เวียดนาม หรือจีน ที่มักส่งบุตรหลานไปเรียนต่างประเทศ ก็จะเลือกมาไทยเป็นอันดับต้นๆ เพราะค่าเทอมไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบประเทศอื่น

และที่สำคัญ โรงเรียนนานาชาติที่จดทะเบียนนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโรงเรียนเอกชนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้เสียภาษีต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

การเติบโตของโรงเรียนนานาชาติ ถือเป็นอีกช่องทางที่ภาครัฐจะดึงให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ขณะเดียวกันกลุ่มทุนไทยก็เข้ามาเล่นในตลาดมากขึ้น เช่น กลุ่มธนาคารกรุงเทพกลุ่มซีพี กลุ่มบีทีเอส กลุ่มสหพัฒน์ กลุ่มสยามกลการ ฯลฯ เพราะตลาดยังขยายตัวได้อีกมาก

“แต่ยังมีความท้าทาย เช่น การเกิดของไทยลดลง, ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าแรงครู ค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อกำไรในระยะยาว โดยเฉพาะในภาวะที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น” นางอรมนกล่าวทิ้งท้าย. 


สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ