เดิมพันครั้งใหญ่ หมดยุคดั้งเดิม ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกเล่าถึง "ความอยู่รอด" ของธนาคารเก่าแก่กว่า 100 ปี ในวันที่ AI และ Digital Bank กำลังกลืนกินสาขา แล้วอะไรคือกลยุทธ์ ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไป
ในอดีต อาชีพพนักงานธนาคารคือสัญลักษณ์ของความมั่นคงและภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ภาพความมั่นคงนั้นกำลังสั่นคลอนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นที่รับรู้กันว่าปัจจุบัน “ธุรกิจธนาคาร”กำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งจากการแข่งขันที่ดุเดือดของธนาคารดั้งเดิม และ การที่ Virtual Bank (ธนาคารเสมือนจริง) ที่ไม่มีต้นทุนสาขา กำลังจะเกิดขึ้น ไปจนถึงการเข้ามาของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ที่กำลังทำให้บทบาทของพนักงานธนาคารแบบเดิมๆ ต้องหายไป
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของไทยที่มีอายุยาวนานกว่า 118 ปี กำลังแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวครั้งสำคัญ แม้จะยืนหนึ่งด้านผลประกอบการ แต่ผู้บริหารกลับมองว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะชะล่าใจ การทำทุกอย่างเหมือนเดิมอาจนำไปสู่การถูกทิ้งไว้กลางทาง...
แม้ภาพรวมผลประกอบการของระบบธนาคารไทยในครึ่งแรกของปี 2568 จะมีกำไรสุทธิรวมกว่า 1.35 แสนล้านบาท และ SCB จะมีกำไรสุทธิที่เติบโตโดดเด่นที่สุด แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงความท้าทายที่แท้จริง
ล่าสุด “กฤษณ์ จันทโนทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการแข่งขันกับคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Virtual Bank และความก้าวหน้าของ AI
“การรับมือความท้าทายต่างๆ นั้น เราต้องทำตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม่นยำในเป้าหมาย เลือกทำในสิ่งที่ถนัด รวมไปถึงการปรับตัวภายใน การสร้างพันธมิตรใหม่ ก็มีความสำคัญเช่นกัน”
SCB จึงได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้เป็นแบบ "ลีน" (Lean) และ "เร็ว" (Fast) พร้อมทั้งประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการรวม 5 หน่วยงานด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการสำหรับลูกค้าบุคคลเข้าไว้ด้วยกันเป็น "กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking" ซึ่งนำร่องมาระยะหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายคือการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นการใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก
หนึ่งในภารกิจหลักของการปรับตัวคือการจัดการกับต้นทุนสาขาและจำนวนพนักงานที่เคยเป็นโครงสร้างหลักของธนาคารมาอย่างยาวนาน โดยผู้บริหารยอมรับว่าจำนวนพนักงานปัจจุบันกว่า 18,000 คน อาจจะต้องลดลงเหลือประมาณ 15,000 คน หรือต่ำกว่าในอนาคตอันใกล้ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจหลัก เพราะธุรกรรมที่สาขาถูกโอนย้ายไปอยู่บนแอปพลิเคชัน SCB EASY เกือบทั้งหมดแล้ว
ด้าน “วิฑูรย์ พรสกุลวานิช” Chief Consumer Banking Officer กล่าวว่าภารกิจเร่งด่วนคือการผลักดันลูกค้าประมาณ 1 ล้านบัญชี (จาก 17 ล้านบัญชี) ที่ยังไม่ใช้แอป SCB EASY ให้หันมาใช้งานให้หมด เพื่อประเมินว่าหลังจากนั้นจำนวนสาขาที่เหมาะสมควรเหลือเท่าไหร่ อาจจะลดลงจากปัจจุบัน 651 สาขา เหลือประมาณ 500 สาขา
“ลูกค้าหลักล้าน ที่ไม่มีแอป EASY นี่จะเป็นตัวแปร ว่าสาขาที่ควรจะมี ควรเหลือแค่ไหน?”
การปรับตัวครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งพนักงาน แต่เป็นการยกระดับบทบาทของพนักงานจาก “ผู้ให้บริการ” ที่คอยเก็บเอกสารหรือตรวจสอบข้อมูล มาเป็น “ที่ปรึกษาทางการเงิน” ที่สามารถให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่ซับซ้อนและวางแผนความมั่งคั่งให้ลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยมี AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ ทำให้การแนะนำแม่นยำและตรงจุดมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว SCB ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือการผสานตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นทำงาน การสร้างครอบครัว หรือการวางแผนเกษียณอายุ “กฤษณ์ จันทโนทก” ระบุว่านี่คือเป้าหมายระยะยาวของธนาคารไทยพาณิชย์
“โลกเปลี่ยน ประเทศเปลี่ยน ไทยพาณิชย์ ก็ต้องเปลี่ยน”
“เป้าหมายระยะยาว สร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทย วางแผนการเงินให้ตัวเอง และครอบครัวได้ ปูทางสู่ความมั่นคงได้ เป็นธนาคารที่ลูกค้าไว้วางใจทุกช่วงชีวิต”
โดยกลยุทธ์หลักของ “กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking” คือการเปลี่ยนวิธีคิด จากเดิมที่เน้นการขายผลิตภัณฑ์ มาเป็นการนำลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงชีวิต
ตั้งแต่การเริ่มต้นทำงานที่ต้องการออมเงินเพื่อซื้อคอนโดฯ การก้าวหน้าในอาชีพที่ต้องการลงทุน ไปจนถึงช่วงที่เริ่มมีธุรกิจและต้องการขยายกิจการ และในที่สุดเมื่อถึงวัยเกษียณก็ต้องการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ซึ่งสะท้อนผ่านการให้บริการแบบ “Digital Bank with Human Touch” ที่ยังคงรักษาจุดแข็งด้านความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทาย ผู้บริหาร SCB ได้แสดงมุมมองต่อสถานการณ์และนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยมองว่าปัจจัยสำคัญที่สุดคือการ สร้างความเชื่อมั่น และการมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ “ไม่หว่านแห” และ “เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว” โดยเฉพาะการช่วยให้ธุรกิจ SME และรายย่อยที่กำลังเปราะบางสามารถยืนหยัดอยู่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่อาจจะรุนแรงขึ้นในอนาคต
“ความเสี่ยงของ NPL ของระบบแบงก์พาณิชย์ เราเห็น แต่สิ่งที่เราไม่เห็น คือสถานการณ์ต่างๆ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน นั่นคือตัวแปร”
จากนี้ไป ความอยู่รอดของธนาคารร้อยปีอย่างไทยพาณิชย์จึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับตัวเลขกำไร แต่เป็นการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนจากทุกทิศทาง การปรับตัวครั้งใหญ่นี้จึงเป็นการเดิมพันที่น่าจับตาที่สุด และเป็นภาพสะท้อนอนาคตที่ธนาคารแบบเดิมๆ กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง.
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney