ศูนย์วิจัย ABPlas STeP พร้อมสร้าง "น้ำกระตุ้นพลาสมา" ทดแทนปุ๋ยไนโตรเจน เพื่อพลังสะอาดเพื่ออาหารปลอดภัย เจาะกลไกการผลิตพืชแนวตั้งในโรงเรือนระบบปิด
อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) โดยศูนย์วิจัยเชิงธุรกิจด้านเทคโนโลยีพลาสมาสำหรับเกษตรและชีวภาพ (ABPlas) ได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับภาคการเกษตรไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาโรงเรือนระบบปิด ในรูปแบบ Vertical Farm ที่นำเทคโนโลยีพลาสมาอุณหภูมิต่ำ (Low-temperature Plasma) มาใช้ร่วมกับระบบปลูกพืชแนวตั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการพึ่งพาสารเคมี และควบคุมปัจจัยแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ
โดยเทคโนโลยีพลาสมานี้ถูกประยุกต์ใช้เพื่อกระตุ้นโมเลกุลของน้ำธรรมดา ให้เปลี่ยนสภาพเป็น น้ำกระตุ้นพลาสมา (Plasma-Activated Water: PAW) ซึ่งอุดมด้วยอนุมูลอิสระ เช่น ไนไตรท์ ไนเตรต และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นต้นที่มีคุณสมบัติคล้ายธาตุอาหารในปุ๋ย ส่งผลให้พืชเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก และยังช่วยลดการสะสมของไนเตรตในพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ABPlas ได้ดำเนินการทดสอบระบบดังกล่าวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำวนในโรงเรือนระบบปิด ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ แสง ความชื้น และการหมุนเวียนของน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เหมาะกับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านขนาด รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ฝนตกหนัก หรือการแพร่ระบาดของศัตรูพืช
ทั้งนี้ ผักสลัดที่ได้จากกระบวนการผลิตดังกล่าวมีความปลอดภัยสูงไม่พบสารเคมีตกค้าง และมีปริมาณไนเตรตต่ำกว่าการปลูกด้วยวิธีดั้งเดิมจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และตลาดอาหารพรีเมียมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภค
ทีมวิจัยได้สร้างนวัตกรรมการปลูกผักแนวตั้งแบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) ที่ไม่เพียงเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่แต่ยัง ลดการใช้สารเคมี ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ น้ำธรรมดา ที่ผ่านการกระตุ้นด้วยพลาสมาเป็นแหล่งธาตุอาหาร แทนไนโตรเจนจากปุ๋ยเคมี
โดยผลการทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผักสลัดที่ปลูกด้วยระบบน้ำกระตุ้นพลาสมา มีปริมาณสารตกค้างต่ำกว่าการปลูกแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังมีความสด สะอาด และปลอดภัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และตลาดอาหารพรีเมียมที่ต้องการผลผลิตที่ได้มาตรฐานสูง
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรยังสามารถลดต้นทุนการผลิต เพิ่มความสม่ำเสมอของผลผลิต และควบคุมคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในสภาวะที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ซึ่งถือเป็นการยกระดับการผลิตพืชให้ก้าวสู่เกษตรอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง
นอกจากประโยชน์ในเชิงสุขภาพ ศูนย์วิจัย ABPlas ยังมุ่งขยายผลการวิจัยไปสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม ผ่านการให้คำปรึกษา การทดสอบระบบ และการออกแบบโมเดลการผลิตที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ประกอบการแต่ละราย โดยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ ทดลอง และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาในการพัฒนาระบบการผลิตพืชที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน กลไกดังกล่าวยังเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรมที่ต้องการควบคุมผลผลิตได้อย่างแม่นยำ สม่ำเสมอ และลดความสูญเสียที่เกิดจากความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ได้เข้ามาใช้บริการของศูนย์วิจัยฯ
ทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการสนับสนุนเชิงเทคนิค เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและการจัดการศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลของเกษตรอัจฉริยะ ที่ผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับระบบการผลิตจริงได้อย่างยั่งยืนและตอบโจทย์ทั้งภาคการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
พัฒนาเทคโนโลยี AI : กรมสรรพากรร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ด้านการพัฒนา ต่อยอด และถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ณ อาคารกรมสรรพากร ซอยพหลโยธิน 7 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ สนับสนุนการให้บริการประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ
แคมเปญ Women Inspired : นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ผู้หญิงวันนี้ไม่ใช่แค่กลุ่มเป้าหมาย แต่คือผู้กำหนดทิศทางตลาด การเลือกใช้พลังผู้หญิงเป็นจุดขายของแคมเปญ คือการตอบรับเทรนด์การตลาดระดับโลกที่เรียกว่า She-Economy หรือ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผู้หญิง ซึ่งมูลค่าตลาดนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในประเทศไทย
ทั้งนี้เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นค้าปลีกที่เริ่มขยับจากกลยุทธ์โปรโมชั่นสู่การสร้าง Brand Conversation และ Purpose-Driven Campaign มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่เชื่อมโยงอารมณ์อย่างวันแม่ จึงได้จัดแคมเปญ Women Inspired ขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม - 28 สิงหาคม 2568 ภายในศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป
ได้แก่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และเดอะมอลล์ ทุกสาขา, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, เอ็มสเฟียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้หญิงยุคใหม่ พร้อมต่อยอดโอกาสการจับจ่ายในช่วงเทศกาลวันแม่ที่มีพฤติกรรมการซื้อของขวัญและพาครอบครัวรับประทานอาหารนอกบ้านสูงกว่าปกติ
จากการเก็บข้อมูลลูกค้าที่ใช้จ่ายของกลุ่มเดอะมอลล์ ผู้หญิงมีอำนาจตัดสินใจซื้อกว่า 70% จนเกิดเป็นเทรนด์ She-Economy ที่ผู้หญิงเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายธุรกิจให้ความสนใจในการเจาะตลาดกลุ่มผู้หญิงมากขึ้น
โดย 3 ลำดับแรก ของสินค้าที่ผู้หญิงใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่ สินค้าอุปโภค บริโภค จาก Gourmet Market, เครื่องสำอาง น้ำหอม จาก Beauty Hall และ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที จาก Power Mall และในช่วงเทศกาลที่มีการให้ของขวัญ จะมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 20%