สิงคโปร์ประกาศทบทวนยุทธศาสตร์ประเทศ จัดทำ “พิมพ์เขียวเศรษฐกิจใหม่” รักษาอนาคตสิงคโปร์ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่การเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้า สร้างหลักประกันทางสังคม การพัฒนาพื้นที่และก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ตลอดจนมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ธุรกิจนำ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ให้กับชาวสิงคโปร์
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลอว์เรนซ์ หว่อง แถลงวิสัยทัศน์ต่อประเทศในการกล่าวสุนทรพจน์ “National Day Rally” ครั้งแรกหลังชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประกาศชัดถึง “ก้าวต่อไปของสิงคโปร์” ตอกย้ำจุดยืนพรรคในการปกป้องสิงคโปร์จากแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจ
“เราจะไม่ยอมเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ปล่อยให้โลกถูกกำหนดโดยผู้อื่น” หว่องชี้ว่า สิงคโปร์กำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความเชื่อใจระหว่างประเทศที่ถดถอย และแนวโน้มที่แต่ละชาติต่างหันมาใส่ใจผลประโยชน์ตนเอง พร้อมย้ำความสำเร็จของสิงคโปร์ที่เกิดจากความมุ่งมั่นที่ทำให้ประเทศยังคงความเป็นเลิศต่อไป
พร้อมระบุว่า รัฐบาลสิงคโปร์กำลังทบทวนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องชั่วคราว ซึ่งรวมถึงแนวทางรักษาความสามารถในการแข่งขัน การเข้าถึงพลังงานสีเขียว และการผลักดันให้ธุรกิจของสิงคโปร์ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ
หว่องชี้ว่า นอกจากความท้าทายทางการค้า ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และมาตรการภาษีขั้นต่ำ 10% ของสหรัฐฯ ต่อสิงคโปร์ที่อาจปรับขึ้นได้ตลอดเวลา ภัยคุกคามต่อแรงงานจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ยังเป็นความท้าทายหลักที่สิงคโปร์กำลังเผชิญ
โดยระบุว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์จะต้องยกระดับการใช้ AI เช่นเดียวกับที่เคยปรับตัวในทุกยุคเทคโนโลยี และรัฐบาลจะทำงานใกล้ชิดกับสหภาพแรงงานเพื่อออกแบบงานใหม่และเสริมทักษะแรงงาน พร้อมกล่าวชัดถึงการสร้างงานให้กับประชาชนที่จะเป็นภารกิจอันดับหนึ่งของรัฐบาลหลังจากนี้ โดยยกตัวอย่างโครงการจับคู่ตำแหน่งงาน โครงการฝึกงานที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐสำหรับบัณฑิตจบใหม่ และโครงการที่รัฐบาลจะช่วยทุกธุรกิจโดยเฉพาะ SME ให้ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ท้ายที่สุด กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของเรา คือ เรื่องงาน งาน และงาน นี่คือภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง เราจะทำมากขึ้นเพื่อช่วยให้ชาวสิงคโปร์คว้าโอกาสงานใหม่ๆ และเราจำเป็นต้องมีแผนเศรษฐกิจฉบับใหม่เพื่อรักษาอนาคตของสิงคโปร์ในโลกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Solaris Strategies Singapore มองว่าพรรค PAP สามารถกำหนดนโยบายระยะยาวได้ เพราะครองเสียงข้างมากในสภา และย้ำว่าสิ่งที่ทำให้สิงคโปร์รุ่งเรือง คือ ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างเสถียรภาพทางการเมือง ความกลมเกลียวทางสังคม และพลวัตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนายกฯ ได้สะท้อนอย่างชัดเจนในสุนทรพจน์
ก่อนหน้านี้ยุคของหว่องและพรรค PAP ได้ขยายสวัสดิการสังคมครั้งใหญ่ โดยมีการออกเงินช่วยเหลือคนว่างงานเป็นครั้งแรก รวมทั้งอัดงบหลายพันล้านดอลลาร์เพื่ออุดหนุนค่าอาหาร ค่าไฟฟ้า และการศึกษา ปัจจุบันจากประชากรทั้งหมดราว 6 ล้านคน มีชาวสิงคโปร์ที่ถือสัญชาติประมาณ 3.6 ล้านคน
ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้ หลังเศรษฐกิจครึ่งปีแรกขยายตัวดีกว่าคาด โดยส่วนหนึ่งมาจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมาตรการภาษีสหรัฐฯ และความกังวลด้านการค้าที่ผ่อนคลายลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.5%-2.5% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 0%-2% ปัจจุบันสิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียเมื่อวัดด้วย GDP ต่อหัว โดยปี 2024 คาดอยู่ที่ 90,689 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าฮ่องกง (54,107 ดอลลาร์สหรัฐ) และบรูไน (33,418 ดอลลาร์สหรัฐ)
ที่มาข้อมูล Bloomberg