Krungthai COMPASS แนะ 2 กลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าที่เกินดุลกับสหรัฐฯ เร่งปรับตัว หลังมีโอกาสสูงที่จะถูกขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรง ชี้สินค้า 2 กลุ่มเสี่ยงมีมูลค่าส่งออกร่วมกันกว่า 7 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ได้ประเมินผลกระทบของธุรกิจไทยถึงความเส่ียง จาก Trade war รอบใหม่ที่จะมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ว่า ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ในปี 2566 ที่ผ่านมา เป็นอันดับ 12 ของโลกด้วยมูลค่า 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ทำให้ 6 เดือน หลังจากนี้เป็นช่วงเวลาในการเตรียมแผนรับมือของผู้ประกอบการไทย ก่อนที่มาตรการกีดกันทางภาษีรอบใหม่ของสหรัฐฯ จะออกมาชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ระบุว่า ธุรกิจ 2 กลุ่มสินค้าท่ีต้องจับตาเป็นพิเศษ และต้องเร่งปรับตัว ประกอบด้วย 1.กลุ่มสินค้าที่มียอดเกินดุลกับสหรัฐฯ สูง ประกอบด้วย ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์การสื่อสาร และยางรถยนต์ ซ่ึงสินค้าเหล่านี้มีมูลค่าการส่งออกสูงและมีการเกินดุลการค้าต่อสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ โดยสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่า 20,000 ล้านเหรียญ หรือ 700,000 ล้านบาท ( 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยคิดเป็น 34% ของการส่งออกไทยไปยังสหรัฐ และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ขยายตัวรวดเร็ว ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ เช่น เครื่องจักรอิเลกทรอนิกส์ และ แอร์คอนดิชั่น แม้จะมีการเกินดุลไม่มากนัก แต่มีอัตราการเติบโตสูง อย่างรวดเร็วในช่วงปี 2559-2567 นอกจากนั้น สินค้ากลุ่มแผงโซลาร์เซลล์ ยังเป็นกลุ่มที่อยู่ในข่ายได้รับผลกระทบจากความกังวลว่าไทยเป็นฐานการผลิตของจีนหรือไม่ โดยสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญฯ หรือ 14,000 ล้านบาท หรือ 8% ที่ไทยส่งออกไทยไปสหรัฐฯ