ม.หอการค้าไทย เผย นายกฯถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เศรษฐกิจฟื้นช้า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา สงครามการค้า นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่าครองชีพสูง ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค-ภาคธุรกิจเดือนส.ค.68 ต่ำสุดรอบ 32-33 เดือน ลดลงต่อเนื่อง 6-7 เดือนติด แนะทำ “คนละครึ่ง” 2 เฟส รวม 5 หมื่นล้านบาท เชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ภายใน 4 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้า และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนส.ค.68 ว่า ดัชนีทั้ง 2 รายการอยู่ในช่วงขาลง โดยมีค่าต่ำที่สุดในรอบ 33 เดือน และ 32 เดือน ตามลำดับ เพราะภาคธุรกิจกังวลเสถียรภาพการเมือง หลังจากนายกรัฐมนตรีถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และปัญหาเศรษฐกิจฟื้นช้า สะท้อนจากระดับการลงทุนของภาคเอกชนในทุกจังหวัดที่ลดลง โดยเดือน ส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 37.5 ขณะที่การจ้างงานอยู่ที่ระดับ 38.0 ซึ่งถือว่าต่ำมาก ดังนั้น รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องเข้ามาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีคนนอกที่เป็นมืออาชีพ ที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจ ทำให้ปัญหาการเมืองที่คลี่คลาย และเกิดกระแสเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจจะหยุดสัญญาณดัชนีความเชื่อมั่นขาลง และเริ่มกลับเข้าสู่ขาขึ้นได้ หากรัฐบาลใหม่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยจะต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 และประสานไปยังหน่วยงานท้องถิ่นให้เร่งเบิกจ่าย เพื่อให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังต้องผลักดันโครงการคนละครึ่งโดยเร็ว คาดว่า น่าจะใช้งบประมาณจากงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 69 ที่มีอยู่ราว 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ 70,000-100,000 ล้านบาท เพราะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย จะใช้สิทธิ์หมดทันที ขณะที่กลุ่มระดับปานกลาง ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายจากโครงการนี้ได้ อาจดึงเงินออมออกมาใช้จ่ายอย่างอื่น ทำให้มีตัวทวีคูณในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
“เมื่อรวมเงินจากคนละครึ่งเฟส 1 ประมาณ 70,000-100,000 ล้านบาท กับการเร่งเบิกจ่ายงบปี 69 และงบท้องถิ่น เชื่อว่า จะประคองเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ให้โตได้เพิ่มขึ้นอีก 1-2% มาอยู่ที่ 2.3% และจะผลักให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้โตได้เกิน 2.5% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้จะขยายตัว 2%“
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ชะงักงัน รัฐบาลควรทำโครงการคนละครึ่งเฟส 2 โดยเติมเงินเข้าไปอีก 25,000 ล้านบาท รวมเป็นทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะโยกงบกลางเข้ามาใช้ เพราะเศรษฐกิจไทยขณะนี้ มีความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้น หากทำได้เชื่อว่า รัฐบาลจะฟื้นเศรษฐกิจได้ ภายใน 4 เดือนนี้ หรือตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 อาจจะโตได้ 2.5-3% มีความเข้มแข็งพอที่จะรองรับการยุบสภาในช่วงต้นปีพอดี ซึ่งจะไม่กระทบกับเศรษฐกิจภาพรวม
ส่วนค่าเงินบาทในขณะนี้ ที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปีนั้น ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกมาก จึงต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลความเหมาะสมของค่าเงินบาทให้อยู่ระหว่าง 32-33 บาท/เหรียญสหรัฐฯ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้
สำหรับรายละเอียดของดัชนีความเชื่อมั่นแต่ละรายการ เป็นดังนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคธุรกิจ) เดือน ส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 44.2 ลดลงจาก 45.3 ในเดือนก.ค.68 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนส.ค. 68 อยู่ที่ 50.1 ลดจาก 51.7 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ 36.0 ลดจาก 36.7 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 58.1 ลดจาก 58.9 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 44.1 ลดจาก 45.6, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 48.3 ลดจาก 49.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 58.0 ลดจาก 59.6 ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคกังวลเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง ปัญหาสงครามการค้า นโยบายภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย