กระทุ้ง ธปท.ลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน ทรัมป์เอฟเฟกต์กดจีดีพีปนี้โตติดลบ-ต่ำ 2%

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

กระทุ้ง ธปท.ลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน ทรัมป์เอฟเฟกต์กดจีดีพีปนี้โตติดลบ-ต่ำ 2%

Date Time: 4 เม.ย. 2568 08:38 น.

Summary

ทรัมป์เอฟเฟกต์อย่างดุ กดการเติบโตจีดีพีปีนี้เต็มๆ นักวิเคราะห์ดาหน้าปรับเป้าเหลือโตติดลบไปจนถึงขยายตัวต่ำกว่า 2% ประเมินธปท.จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยฉุกเฉินในการประชุมสิ้นเดือน เม.ย.นี้

Latest

ตำนาน 70 ปี "นันยาง"รองเท้าคู่ใจ ส่งรุ่นลิมิเต็ด“พิทักษ์ 68”เคียงข้างทหารไทย 

ทรัมป์เอฟเฟกต์อย่างดุ กดการเติบโตจีดีพีปีนี้เต็มๆ นักวิเคราะห์ดาหน้าปรับเป้าเหลือโตติดลบไปจนถึงขยายตัวต่ำกว่า 2% ประเมินธปท.จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยฉุกเฉินในการประชุมสิ้นเดือน เม.ย.นี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 36% ว่า มีผลกระทบต่อไทยค่อนข้างสูง โดยการคำนวณภาษีในอัตรา 72% และลดลงมาเหลือเก็บจริง 36% โดยสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการต่อจากนี้คือ 1.ประเมินว่าสินค้าใดถูกเก็บภาษีในอัตราใด และประเมินเทียบกับคู่แข่ง เพื่อวางแนวนโยบายที่จะรับมือให้รอบด้าน 2.เจรจากับสหรัฐฯ และต้องดูว่าเรามีไพ่อะไรที่เขาอยากได้จากเรา เช่น เราต้องเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างจีน เขาต้องการความมั่นคงและมิตรในอาเซียน 3.มองหาตลาดใหม่ๆ 4.เตรียมรับมือกับสินค้าจากจีน และอื่นๆที่จะทะลักเข้าไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลอาจต้องออกมาตรการให้เอสเอ็มอีรับมือและปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปได้

ด้าน บล.บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2568 ระบุว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการส่งออกไทย เนื่องจากสหรัฐฯเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ที่มีสัดส่วนการส่งออกกว่า 18.3% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด หากประเมินผลกระทบในเชิงตัวเลขการส่งออกที่หดตัวต่ำกว่า 1% อาจเห็นจีดีพีไทยปี 2568 ลงไปแตะ 1% หรือต่ำกว่า โดยเฉพาะในกรณีที่สงครามการค้ายืดเยื้อ “การที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีกับ 50 ประเทศคู่ค้าในอัตราที่สูง สะท้อนว่าต้องการบีบการเจรจาให้จบเร็วขึ้น สำหรับไทยต้องเร่งเจรจาและอาจเห็นภาพการเปิดเสรีทางการค้าในบางกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรหลายรายการที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯสูง และอาจต้องเจรจานำเข้าพลังงานหรือสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบิน อาวุธ ยาและเวชภัณฑ์อื่นๆ เป็นต้น

นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX กล่าวเศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจหดตัว -1.1% ในปีนี้ จากการคาดการณ์พื้นฐานที่การขยายตัว 2.5% หากไม่มีการเจรจาต่อรองและการลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากนี้กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บ 2.กระทรวงการคลังออกมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก 3.ธปท.ที่ควรจะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉิน

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ห่วงว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยมีโอกาสโตต่ำ 2% ขณะที่ท่องเที่ยวก็น่ากระทบเพราะคนขาดความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ “แนวทางแก้ปัญหา ทรัมป์บอกวิธีแก้ไว้แล้วว่า ให้ลดภาษีนำเข้า ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า (non tariff barrier) หยุดบิดเบือนค่าเงิน เร่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และมาลงทุนที่สหรัฐฯ ผมมองว่าเราน่าจะทำตามที่ทรัมป์เสนอบ้าง อย่างน้อยก็แสดงความจริงใจ และต้องเตรียมแผนรับมือผลกระทบด้วย เช่น การสวมสิทธิจากจีน สินค้าจีนทะลัก และหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแจกเงิน และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าลดอัตราดอกเบี้ยลงในรอบการประชุมวันที่ 30 เม.ย.2568”

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยกรณีนี้เป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดในรอบกว่า 100 ปี เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกือบ 60 ประเทศ เผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.2568 ขณะที่ประเทศอื่นๆที่ไม่ถูกตอบโต้โดยตรง ก็เผชิญอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย.2568

ซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมากราว 1.35 จุด จากปัจจุบันที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.8% เหลือเพียง 1.45% และมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง รวม 0.50% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจลดลงเหลือ 1.50% ภายในสิ้นปีนี้.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ