ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังเปราะบาง ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การส่งออก โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามหามิตร ความเชื่อมั่นที่พังทลายจากภาพตึก สตง.ยังเป็นอีก 1 ระเบิดเวลาที่ถล่มมายังธุรกิจท่องเที่ยว ที่กำลังเป็นเครื่องยนต์สุดท้ายของเศรษฐกิจไทย
ภาพอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่พังครืนลงมาระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568
สร้างความหวาดหวั่น ไปพร้อมๆกับซัดสาดความเชื่อมั่นที่มีต่อมาตรฐานความปลอดภัยในอาคาร สำนักงาน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย
แม้อาคาร สตง.จะเป็นเพียงอาคารเดียวที่ถล่มลงมาจากแรงสั่นสะเทือน 5.1 (ข้อมูลจาก the U.S. Geological Survey หรือ USGS) ที่วัดได้ ณ พื้นที่เขตจตุจักร ที่ตั้งของ อาคารสำนักงานดังกล่าว นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น
แต่เมื่อภาพตึกถล่มถูกถ่ายทอดซ้ำไปซ้ำมาผ่านสื่อหลักและสื่อรองทั่วโลก ประเทศไทยจึงกลายเป็นเหยื่อภัยพิบัติแผ่นดินไหวร่วมกับเมียนมา
2 วันหลังเกิดเหตุ สมาคมสายการบินประเทศ ไทย ประกอบด้วยสมาชิก 6 สายการบิน ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์, ไทยไลอ้อนแอร์, เวียตเจ็ทไทยแลนด์ และนกแอร์ พบว่า 90% ของผู้จองตั๋วขอเลื่อนเดินทาง 10% ขอยกเลิกทันที ขณะที่ยอดจองที่ควรจะมีเข้ามา ลดลง 40-60%
ในภาวะที่ประเทศไทยกำลังเปราะบาง ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้า การส่งออก โดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามหามิตร ความเชื่อมั่นที่พังทลายจากภาพตึก สตง.ยังเป็นอีก 1 ระเบิดเวลาที่ถล่มมายังธุรกิจท่องเที่ยว ที่กำลังเป็นเครื่องยนต์สุดท้ายของเศรษฐกิจไทย
นอกจากตึกเพียง 1 เดียว ที่เหลือ...ทั้งอาคาร สำนักงาน สิ่งปลูกสร้างอื่น ยังไม่มีแห่งใดอีกที่ถล่มลงมา การสึกกร่อน รอยร้าวที่ปรากฏไม่ได้สะท้อนโครงสร้างที่มีปัญหา แต่ธุรกิจต่างๆนานาที่เกี่ยวข้องต้องปรับมุมมองธุรกิจ รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันเป็นความเสี่ยงใหม่ พร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่น
เหตุการณ์ในครั้งนี้ควรเป็นโอกาสในการให้ความรู้กับสาธารณชนว่า “รอยร้าวทางสถาปัตย์” ไม่ได้แปลว่า “โครงสร้างมีปัญหา” และต้องเน้นการสื่อสารกับลูกบ้านอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่น
“เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้แม้สร้างความตื่นตระหนกแต่ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงโครงสร้างร้ายแรงกับอาคารในกรุงเทพฯ ซึ่งมีมากกว่า 6,000 อาคาร พบเพียงอาคารเดียวที่เกิดปัญหาและยังอยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ”
สำหรับการปรับตัวของธุรกิจ น่าจะเกิดผลกระทบระยะสั้น เหมือนเหตุการณ์น้ำท่วม ทำคนย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียม พอเกิด โควิดคนหนีกลับไปอยู่บ้าน พอสักระยะคนกลับมาอยู่คอนโดมิเนียมตามเดิม เช่นเดียวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว มองว่าเป็นพฤติกรรม ระยะสั้น “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเดินหน้าต่อไปได้หากมีระบบรับมือที่ดี มีมาตรฐานการก่อสร้างที่เข้มแข็ง และสื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใส”
สรุปแนวทางการทำงานและบทเรียนหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา แสนสิริไม่พบปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงทำให้ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย “2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์ เราได้ตั้ง War Room บริหารสถานการณ์และเริ่มตรวจสอบอาคารในโครงการทั้งหมด 225 โครงการ รวมถึงโครงการที่กำลังก่อสร้างอีกกว่า 20 โครงการ ระดมพันธมิตร เช่น ทีมงานก่อสร้าง บริษัทออกแบบ ผู้ออกแบบโครงสร้าง และผู้ควบคุมงานก่อสร้าง เริ่มตรวจสอบอาคารในวันรุ่งขึ้น เน้นตรวจสอบ 1.เสา-โครงสร้างอาคาร 2.ระบบป้องกันอัคคีภัย 3.ระบบลิฟต์ 4.ระบบไฟฟ้าและประปา 5.งานสถาปัตยกรรม”
“จากการตรวจสอบพบว่า ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเชิงสถาปัตยกรรม เช่น ผนังร้าว กระเบื้องแยก ไม่ได้กระทบกับโครงสร้างอาคารโดยตรง ภาพรวมสถานการณ์ตรวจสอบครบแล้วทั้ง 225 โครงการ รวมถึงจังหวัดเชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต และพัทยา โดยพบความเสียหายเชิงโครงสร้างน้อยมาก ระบบลิฟต์ในบางโครงการได้รับผลกระทบบ้าง คาดว่าทุกโครงการจะกลับมาใช้งานได้มากกว่า 50% ภายในเดือน เม.ย. ส่วนระบบไฟฟ้าไม่พบปัญหา ทุกระบบกลับมาใช้งานได้ 100%”
แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือนใต้พื้นดิน แต่มันคือ “Wake–Up Call” สำคัญ ที่เขย่าความเชื่อเดิมๆ ที่เราหลายคนเคยมีว่า “ประเทศไทยไม่น่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้”
ในช่วงเวลาที่ผู้คนเต็มไปด้วยความสับสน ความกลัว และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “Crisis Management” เราต้องส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเคลมประกัน วิธีดูแลทรัพย์สิน หรือคำแนะนำในการป้องกันตัวเอง เพื่อให้ลูกค้าเห็นทางออกจากวิกฤติได้เร็วที่สุด และรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย สิ่งที่เราต้องทำต่อไม่ใช่แค่กลับไปทำงานตามปกติ แต่คือการทบทวนอย่างจริงจังว่า ผลิตภัณฑ์และกรมธรรม์ของเรายังตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในโลกปัจจุบันได้ดีพอหรือไม่ และพร้อมรองรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วหรือยัง
บริษัทประกันภัยยังต้องยอมรับว่า วิธีคิดเดิมและเครื่องมือเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เราต้องไม่ยึดติดกับสถิติในอดีต แต่เปิดรับข้อมูลใหม่ๆที่สะท้อนความเป็นจริงรอบตัว เช่น ภัย ธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้นทุกปี และเทคโนโลยีไม่ควรเป็นแค่ระบบหลังบ้านอีกต่อไป แต่ต้องกลายเป็นหัวใจของการออกแบบบริการและพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ถ้าบริษัทประกันไม่ปรับตัวและไม่มองให้ไกลกว่าความเสี่ยงที่เห็นอยู่ตรงหน้า บริษัทประกันก็ไม่สามารถเป็นหลักมั่นคงที่ลูกค้าหันมาพึ่งพาในยามวิกฤติได้อย่างแท้จริง”
ในฐานะบริษัทประกันภัย อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า การทำประกันไม่ใช่เรื่องของความกลัว แต่คือการเตรียมตัวอย่างมีสติ เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนที่เรารัก การเลือกประกันที่ดีไม่จำเป็นต้องเริ่มจากราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว แต่ควรเริ่มจากการถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากปกป้อง
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตตัวเอง คนในครอบครัว หรือบ้านที่เราสร้างมาอย่างยากลำบาก จากนั้นให้มองหาประกันที่ตอบโจทย์ตรงนั้นจริงๆ โดยดูจาก 3 อย่างหลักๆ คือ 1.ความคุ้มครองครอบคลุม อาจไม่ต้องมากที่สุด แต่ “ตรง” กับความเสี่ยงที่มี 2.ความเข้าใจง่าย เอกสาร หรือเงื่อนไขไม่ควรซับซ้อนเกินไป 3.บริการที่เชื่อถือได้
“เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เพิ่งเกิดขึ้น เป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนว่าโลกทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและในโลกแบบนี้การมีประกันที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรือผลประโยชน์ทางการเงิน แต่มันคือการมอบความมั่นใจให้ตัวเอง ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร เราจะไม่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง”
จากการสำรวจความเสียหายของโรงแรม ผ่านการคุยกับสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย พบส่วนใหญ่เป็นการกะเทาะของผนัง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนเรื่องโครงสร้างหลัก ไม่มีโรงแรมไหนมีปัญหา
การปรับตัวรับภัยพิบัติใหม่ของประเทศหลังแผ่นดินไหวในธุรกิจโรงแรมต้องสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความมั่นใจในการเข้าพักโรงแรม โดยเฉพาะที่เป็นตึกสูงในกรุงเทพมหานคร ว่าเป็นอาคารที่มีความปลอดภัย
“มีข้อเสนอไปยังนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาว่า ขณะนี้ควรมีการออกประกาศนียบัตรหรือหนังสือรับรองให้กับโรงแรมทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่ผ่านการตรวจสอบจากวิศวกรแล้วว่ามีความปลอดภัยสามารถเข้าพักได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เกิดความสบายใจเพราะเขาเรียกร้องมามาก”
ต้องเข้าใจว่าภาพข่าวตึก สตง.ที่อยู่ในกรุงเทพฯถล่มลงไปทั้งตึก ประกอบกับเนื้อข่าวว่ามีแผ่นดินไหวในเมียนมาและไทยเผยแพร่ออกไปทั่วโลก คนทั่วโลกเขาแยกไม่ออกหรอก ว่าตึกที่ถล่มลงมีเพียงตึกเดียว และเขาก็แยกเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาและไทยไม่ออก ว่าเป็นคนละสถานที่กัน เพราะเวลาเสนอข่าวมันถูกมัดรวมเป็นข่าวเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้การท่องเที่ยวของไทยจึงถูกกระทบมาก
จากการสำรวจโรงแรมทั่วประเทศล่าสุด ประเมินออกมาได้ว่าในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นเทศกาลมหาสงกรานต์ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงประมาณ 25% หรือลดลง 689,282 คน เหลือ 2,067,846 คน เมื่อเทียบกับปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,757,128 คน
ส่วนเรื่องความปลอดภัยของอาคารโรงแรมเฉพาะที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร สมาคมโรงแรมไทยได้ประชุมกับนายวิษณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สรุปว่าโรงแรมที่มีจำนวนห้องเกินกว่า 80 ห้อง ให้ใช้ผู้ตรวจสอบอาคารที่จะต้องทำรายงานตรวจสอบอาคารประจำปีเป็นผู้ตรวจอาคารเบื้องต้น โดยมีแบบประเมินจากทาง กทม. เมื่อตรวจสอบแล้วต้องสรุปผลว่าเป็นสีเขียว เหลือง หรือแดง
“หากเป็นสีเขียว รายชื่ออาคารนั้นจะถูกบรรจุอยู่ในรายการตรวจสอบอาคารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยผู้ตรวจสอบอาคาร หรือ Building Inspection Dashboard ผมกำลังเสนอให้ทำสติกเกอร์รับรองผลตรวจในลักษณะเดียวกันกับเครื่องหมาย SHA+ ที่เคยใช้เป็นตรารับรองตอนการระบาดของโควิด-19 ส่วนโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักน้อยกว่า 80 ห้อง ทางกรุงเทพมหานครแจ้งว่า สามารถใช้วิศวกรระดับสามัญเข้าทำการสำรวจอาคาร ใช้เกณฑ์เดียวกัน แล้วสามารถลงใน Dashboard ได้เหมือนกัน”
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ธอส.ได้เพิ่มเงื่อนไขสำหรับลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนห้องชุด ต้องยื่นเอกสารรับรองโครงการหรืออาคาร ว่ามีความมั่นคงแข็งแรงและสามารถอยู่อาศัยได้ตามปกติ ตรงนี้จะทำให้การปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าไม่หยุดชะงัก โดยเฉพาะลูกค้าที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม รวมทั้งยังมีข้อเสนอให้ลูกค้าได้ทำประกันคุ้มครองสินเชื่อ เมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติจะขอรับสินไหมทดแทน กรณีที่อยู่อาศัยเสียหายได้ด้วย
“ธอส.มีการปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้าในช่วงนั้น เพื่อสร้างความยืดหยุ่น ผมเชื่อว่าบ้านคือความอบอุ่นของครอบครัวและทุกคนต้องพยายามรักษาบ้านไว้ให้ได้ ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ประสบปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ อย่างแผ่นดินไหวที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น ธอส.ก็พร้อมช่วยเหลือ โดยลูกหนี้รายใดมีปัญหาสามารถเข้ามาเจรจากับ ธอส.ได้เป็นรายกรณี เพราะความต้องการของลูกหนี้แตกต่างกัน”
สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ ธอส.ได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย สำหรับลูกค้าปัจจุบันจะได้รับการลดเงินงวด ลดอัตราดอกเบี้ยพักชำระเงินงวดนาน 3 เดือน รวมทั้งยืดระยะเวลาการชำระหนี้ เพื่อแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยลูกค้ายังสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL GEN ในการขอสินเชื่อได้อย่างรวดเร็วด้วย
มั่นใจว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะไม่ทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนของไทยในระยะยาวมีปัญหา เชื่อมั่นว่าการให้ความสำคัญกับการออกแบบและการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งอยู่ใน DNA ของ WHA มาตั้งแต่เปิดกิจการ หลังส่งทีมวิศวกรเข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารสำนักงานและคลังสินค้าทั้งหมดหลังเกิดเหตุ ผลยืนยันอาคารมีความแข็งแรง ปลอดภัย และไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว
“เรามีนิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดระยองและชลบุรี อยู่นอกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว จึงไม่พบความเสียหายใดๆ ขณะที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี (WHA SIL) อาคาร คลังสินค้า อาคารสำนักงานใหญ่ WHA Tower ที่สมุทรปราการ รวมถึงอาคารสำนักงานให้เช่า SJ Infinite และ Quant บนถนนสุขุมวิท ถูกออกแบบตามมาตรฐานการรับแรงแผ่นดินไหวตามกฎหมาย ก็ไม่พบความเสียหายต่อโครงสร้าง”.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม