โลกปั่นป่วนอีกครั้ง!! เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทย เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 สำหรับไทย “เซอร์ไพรส์” หนัก “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ถึงกับเอ่ยปาก “ตกใจ” เพราะอัตราที่ไทยถูกเก็บสูงถึง 36%
โลกปั่นป่วนอีกครั้ง!! เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) คู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทย เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68
เพื่อเดินหน้าทำให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” Make America Great Again และไม่ยอมเสียเปรียบคู่ค้าอีกต่อไป เพราะคู่ค้าเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนจาก “เพื่อน” เป็น “ศัตรู” ในเวทีการค้า เพราะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯอัตราสูง และทำการค้าไม่เป็นธรรม ทำให้สหรัฐฯเสียเปรียบ
สำหรับไทย “เซอร์ไพรส์” หนัก “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ถึงกับเอ่ยปาก “ตกใจ” เพราะอัตราที่ไทยถูกเก็บสูงถึง 36% ยังไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นที่เก็บอยู่แล้ว จากเดิมที่กระทรวงพาณิชย์คาดอยู่ที่ราวๆ 10% เพราะปัจจุบันไทยเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯสูงกว่าที่สหรัฐฯเก็บจากไทย 11%
พร้อมคาดการณ์ว่า หากไทยถูกเก็บ 11% มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯอาจหายไปปีละกว่า 270,000 ล้านบาท แต่ถ้า 36% ก็อาจสูงถึงกว่า 880,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯกว่า 1 ล้านล้านบาท หากไทยไม่ได้เจรจาต่อรองใดๆ หรือเจรจาแล้วไม่สำเร็จ และยังใกล้เคียงกับที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินไว้ที่ 900,000 ล้านบาท
สินค้าที่จะกระทบหนักสุด จะเป็นสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯมูลค่าสูง ซึ่ง 20 อันดับแรก มีมูลค่าส่งออกปี 67 สูงถึง 42,411.25 ล้านเหรียญ จากมูลค่าส่งออกรวมไปสหรัฐฯ 54,956.21 ล้านเหรียญ
แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ต่างชาติ รวมถึงอเมริกันเข้ามาลงทุน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรสาร เครื่องปรับอากาศ เครื่อง จักรกล รถยนต์ ฯลฯ มีไม่กี่รายการที่เป็นของไทย อย่างอัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์เลี้ยง ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องนุ่งห่ม ผลไม้กระป๋องและแปรรูป
อย่างไรก็ตาม ภายใต้คำสั่งนี้ หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาขาดดุลการค้ารวม หรือกำลังการผลิตและผลผลิตของสหรัฐฯยังแย่ลง หรือคู่ค้าใดมีมาตรการตอบโต้ ทรัมป์ก็อาจเพิ่มหรือขยายขอบเขตจัดเก็บภาษี แต่หากคู่ค้าใดแก้ไขและเยียวยาการค้า รวมถึงดำเนินการสอดคล้องกับสหรัฐฯในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคง อาจลดหรือจำกัดขอบเขตภาษีที่เก็บได้
ดังนั้น ในช่วงนี้นานาประเทศต่างดิ้นหนีตาย เร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อให้ลดภาษี โดยยอมทำตามที่สหรัฐฯเรียกร้อง ซึ่งผู้นำเวียดนามได้ฉวยโอกาสประเทศแรกคุยกับผู้นำสหรัฐฯแล้ว โดยเสนอลดภาษีเป็น 0% และจะอำนวยความสะดวกให้สหรัฐฯในเวียดนาม ชี้ให้เห็นว่าเกมนี้สหรัฐฯชนะขาด ได้ประโยชน์เต็มๆ!!
ส่วนไทย “นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์” ปลัดกระทรวงพาณิชย์และประธานคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง บอกว่า เตรียมแนวทางเจรจาไว้แล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนน้อยที่สุด รอเพียงสหรัฐฯนัดมาก็พร้อมเจรจาทันที ซึ่ง “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะเจรจาด้วยตนเอง
โดยแนวทางเจรจา คือ 1.ลดภาษีสินค้านำเข้าบางรายการให้สหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ปลาทูน่า มอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ เครื่องบิน เพิ่มลงทุนในสหรัฐฯ 2.นำเข้าสินค้าที่ยังไม่เคยนำเข้า เช่น เนื้อวัว และเครื่องใน อาจรวมถึงเนื้อหมู 3.ลดเงื่อนไข อุปสรรคต่อการค้า การลงทุน ป้องกันสินค้าเสี่ยงสวมสิทธิไทยส่งออกไปสหรัฐฯ พร้อมกับออกมาตรการเยียวยาผู้ส่งออกไปสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบด้วย
“เราเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว การเจรจาไม่ได้ทำมิติการค้าอย่างเดียว แต่จะทำทุกมิติทั้งการค้าบริการที่สหรัฐฯได้ดุลไทยมาก การลงทุน ความมั่นคง การทหาร การเป็นพันธมิตรอย่างยาวนาน และสหรัฐฯได้ประโยชน์จากสนธิสัญญาไมตรีไทย-สหรัฐฯ ความมั่นคงในภูมิภาค และภูมิรัฐศาสตร์”
อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่าไทยต้องยอมขนาดไหน จะเสียผลประโยชน์ชาติเท่าไร จะเกิดผลกระทบกับเกษตรกรไทยเพียงไร เพื่อแลกกับการลดภาษีตอบโต้ แม้รัฐบาลอ้างว่า การเจรจาคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุดแล้ว และจะเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร
ที่สำคัญจะยอมนำเข้าสินค้าเกษตรอ่อนไหว อย่างเนื้อหมูที่สหรัฐฯเรียกร้องมานับ 10 ปี แต่ไทยยังไม่ยอมนำเข้า เพราะสหรัฐฯใช้สารเร่งเนื้อแดงแรคโตพามีน แต่กฎหมายไทยห้ามใช้เด็ดขาดหรือไม่ จะให้สัมปทานเชฟรอนในพื้นที่ทับซ้อนกัมพูชา และขยายอายุสัมปทานแปลงอื่นหรือไม่ จะซื้ออาวุธ เครื่องบินอีกเท่าไร และต้องเยียวยานักลงทุนต่างชาติในไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ และได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ
ทั้งๆที่การที่คนไทยใช้โซเชียลมีเดียของสหรัฐฯ ทั้ง Youtube, Facebook, X, IG ก็ทำให้สหรัฐฯได้ข้อมูลคนไทยไปหมดแล้ว และวางแผนธุรกิจหาประโยชน์จากคนไทยได้เต็มๆ โดยที่ไม่เสียภาษีใดๆให้รัฐบาลไทยเลย และยิ่ง Google Maps เข้ามาสำรวจเส้นทางในไทยทุกหย่อมหญ้า ก็ทำให้สหรัฐฯรู้จักไทยทุกแง่มุม และเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ ซึ่งตีราคาไม่ได้เลย!!
ถ้าเศรษฐกิจไทยล้ม หรือไทยอ่อนแอ และจีนเข้ามาคุมเศรษฐกิจไทย ความมั่นคงในภูมินี้ของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ที่เคยได้จากไทย ก็อาจสั่นคลอน คุ้มหรือไม่กับการเก็บภาษีตอบโต้ไทย 36%??
สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม