ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ได้ฉายภาพเศรษฐกิจไทย รวมทั้งบริบทใหม่ของการค้าโลก ตั้งแต่จุดที่เรายืนอยู่วันนี้ลงไปถึงจุดต่ำสุดรอบใหม่รวมทั้งหนทางการเอาตัวรอด เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นให้พอเป็นหลักยึดกันได้
นับตั้งแต่ วันที่ 2 เม.ย.68 ซึ่งเป็นวันนับหนึ่งของ “สงครามการค้าโลก ครั้งที่ 2” หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับ 185 ประเทศทั่วโลก
แบ่งเป็น การเก็บ Baseline Tariffs หรือภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% กับทุกประเทศ ซึ่งมีผลไปแล้วเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่อีก 60 ประเทศ ที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ หรือเก็บภาษีศุลกากรสินค้าสหรัฐฯสูงกว่าอัตราที่สหรัฐฯเรียกเก็บ ซึ่งถือว่าเป็นการเอาเปรียบจะถูกเรียกเก็บภาษี Worst Offenders Tariffs เพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น สหรัฐฯประกาศจะขึ้นภาษีส่วนนี้ 36% โดยจะมีผลภายใน 90 วัน หรือในวันที่ 9 ก.ค.68
ทำให้ภายใน 50 วันหลังจากวันนี้ (12 พ.ค.) ต้องฝากความหวังกับรัฐบาลไทยในการเจรจาต่อรองการค้ากับสหรัฐฯให้สำเร็จทันเวลา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงจนเศรษฐกิจไทยปี 68-69 ดิ่งเหว
และภายใต้พายุที่ก่อตัวรุนแรงเตรียมจะเข้าโจมตี เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งเป็นการลดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ของปี ต่อจากการประชุมครั้งก่อนหน้า ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 68 กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5% พร้อมกับปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลง กรณีต่ำที่ 1.3% และเติบโต 2% ในกรณีที่ดีกว่า
“ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” ก็เหมือนกับคนไทยและธุรกิจไทย ซึ่งดีใจที่ กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยติดกันถึง 2 ครั้ง แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความไม่มั่นใจ หรือความกังวลใจต่อ “ภาพเศรษฐกิจวันข้างหน้า” ที่ กนง.มองเห็น และอยากจะรู้ว่า สุดท้ายผลกระทบของสงครามการค้ารอบนี้จะรุนแรงแค่ไหน เพราะวันนี้เรายังคงมองเห็นเพียงฝุ่นที่ยังคงฟุ้งตลบ เรือลอยกลางทะเลไม่เห็นฝั่ง และสถานการณ์ที่เคว้งคว้างกว่าคาดคิดไว้
ได้รับคำตอบนี้ในงาน “ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน : Meet the Press” เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ได้ฉายภาพเศรษฐกิจไทย รวมทั้งบริบทใหม่ของการค้าโลก ตั้งแต่จุดที่เรายืนอยู่วันนี้ลงไปถึงจุดต่ำสุดรอบใหม่รวมทั้งหนทางการเอาตัวรอด เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นให้พอเป็นหลักยึดกันได้
“วันนี้ผมจะพยายามทำตัวเป็น “กรมอุตุฯ” พยากรณ์ “พายุใหญ่” ที่จะเข้ามาให้ใกล้เคียงมากที่สุด แต่ภายใต้เศรษฐกิจการค้าโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความผันผวนที่สูงมากอย่างไม่เคยเห็น การคาดการณ์อาจจะมีความคลาดเคลื่อนบ้าง แต่เราคงรอจนมันชัดเจนไม่ได้ วันนี้เรารู้ว่าพายุกำลังจะมา แต่จะมาถึงเมื่อไร กระทบที่จุดไหน หนักมากแค่ไหน ภาคเอกชนควรรู้สภาพการณ์ที่เผชิญอยู่ และการเตรียมการรับมือ”
เริ่มต้นที่ วัฏจักรเศรษฐกิจไทย หลังจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท.มองว่า “จะมีลักษณะเป็นตัว V ขากว้าง” โดยแบ่งช่วงเวลาเป็น 4 ระยะ ซึ่งขณะนี้เราอยู่ใน ระยะที่ 1 คืออยู่บนยอดของแกนตัว V ที่กำลังดิ่งลง “วันนี้เรารู้ว่าพายุมาแน่ แต่ยังไม่เห็นผลกระทบจากภาษีใหม่ต่อการส่งออกมากนัก เพราะมีการเร่งส่งออกก่อนภาษีจะเริ่มใช้จริง แต่ที่เห็นชัดแล้วคือการลงทุนชะลอลง และจะเห็นตัวเลขส่งออกชะลอลงในไตรมาสที่ 3”
ระยะที่ 1 นี้จะมีเวลานานมีผลกระทบรุนแรงและทำให้เศรษฐกิจไทยดิ่งลงลึกแค่ไหน กว่าจะไปถึงจุดต่ำสุดของรอบนี้ ขึ้นกับเวลาที่เราใช้ในการเจรจาต่อรองภาษีการค้ากับสหรัฐฯจนได้รับการลดอัตราภาษี นานแค่ไหน รวมทั้งขึ้นกับอัตราภาษีใหม่ด้วยว่า เขาจะลดลงให้เราเหลือเท่าไร และมีภาคใดบ้างหรือไม่ที่ได้รับการยกเว้น
ตามมาด้วย ระยะที่ 2 ระยะที่เราได้รับผลกระทบเต็มที่หนักที่สุด และเศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ “จุดต่ำสุด” ในช่วงนี้ โดยเราจะรู้ชัดเจนว่า “พายุใหญ่จริงๆที่จะต้องเผชิญมีความรุนแรงแค่ไหน ฝนและลมจะตกแรงที่จุดใด ภาคอุตสาหกรรมใด” ทั้งนี้ ผมคาดว่า การเข้าสู่ระยะที่ 2 นี้จะไม่เกิดขึ้นเร็วกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เป็นต้นไป และผลของพายุจะลากยาวต่อไปอีกระยะ คงไม่ได้เกิดขึ้นและจบลงเร็ว
หากเทียบกับสหราชอาณาจักร (UK) ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ได้เจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ซึ่งผลที่ได้มายังเป็นกรอบคร่าวๆ ไม่ลงรายละเอียด ตามที่รู้กันว่า การเจรจาการค้าตามปกติใช้เวลานาน บางครั้งเกิน 1 ปี แต่ส่วนที่เห็นชัดเจนแล้วและน่าเป็นห่วง คือ ทั้งๆที่ UK เป็นประเทศที่สหรัฐฯเกินดุล แต่หลังเจรจาภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% ยังอยู่ ทำให้ต้องคิดว่า แล้วประเทศเกินดุลการค้าอย่างไทยจะเป็นอย่างไร โดยล่าสุด สหรัฐฯได้ออกมาระบุ ว่าการเจรจาต่อรองการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศในเอเชียจะใช้เวลามากกว่า UK เพราะมีความซับซ้อนมากกว่า
“การขึ้นภาษี 10% มีผลกระทบเยอะไม่ว่ากับชาติไหน ขณะที่ยังทำให้ข้อกำหนด MFN หรือการปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างเท่าเทียมหายไป กลายเป็นความวุ่นวาย แบ่งค่าย ซึ่งคงต้องรอดูว่าจุดจบสงครามการค้าจะเป็นอย่างไร”
สิ่งที่เห็นจากสงครามการค้า ในครั้งนี้จะทำให้บริบททาง การค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัย เพราะการนำเข้าของสหรัฐฯอยู่ที่ 15% ของระบบการค้าโลก และสำหรับประเทศไทย การส่งออกไปสหรัฐฯ อยู่ที่ 18.3% ซึ่ง “พายุ” จะกระทบใน 3 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรก กลุ่มส่งออกไปยังสหรัฐฯสูง ได้ผลกระทบโดยตรง ซึ่ง 5 รายการสินค้าที่กระทบสูงสุด คือ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนเกษตร และเกษตรแปรรูป
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ผลิตสินค้าขั้นกลาง ส่งสินค้าไปยังประเทศอื่น เพื่อนำไปผลิตต่อและส่งออกไปสหรัฐฯ และกลุ่มที่ 3 น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือผู้ประกอบการที่ต้องรับมือกับสินค้าราคาถูกจากจีน และประเทศเพื่อนบ้านที่ทะลักเข้ามามากขึ้น เพราะเมื่อประเทศเหล่านี้ส่งออกไปสหรัฐฯได้น้อยลง แต่สินค้าผลิตแล้วต้องมีที่ไป ก็จะทะลักเข้ามาในไทย ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีมีความเปราะบางสูง มีอำนาจต่อรองน้อย แต่มีผลต่อการจ้างงานสูง
“ช็อกที่เกิดขึ้น สะท้อนพายุที่เข้ามา เรือคงแล่นในความเร็วเท่าเดิมไม่ได้ ต้องชะลอลง โจทย์จึงไม่ใช่พยายามกระตุ้นให้เรือแล่นเร็วเท่าเดิม แต่ทำให้ช็อกที่เจอเบาลง ความเสียหายไม่ลึกมาก นโยบายต้องเอื้อให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้ดีขึ้น และถ้าเป็นไปได้ต้องใช้โอกาสนี้ยกระดับเศรษฐกิจไทย เพื่อให้เมื่อพายุผ่านไป เรากลับมาโตได้ดีกว่าเดิม”
ระยะการปรับตัวจากจุดต่ำสุดขึ้นไป เท่ากับที่เราดิ่งลงมาหรือดีกว่า จะอยู่ในระยะที่ 3 ของวัฏจักร โดยมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ จะต้องเข้าไปศึกษาผลกระทบของแต่ละภาคธุรกิจ และให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ไม่ใช่การใช้นโยบายปูพรมให้เท่ากันทุกคน หรือกระตุ้นการใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งเห็นได้จากการทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่ารัฐบาลรับฟังเรื่องเหล่านี้
สำหรับ การศึกษามาตรการรับมือ ของรัฐบาลร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ พบว่าผลกระทบมีความแตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น 5 รายการสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯสูงสุด ยังแตกต่างกันมาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่า 0.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) มีการผลิตเพื่อส่งออก 77% แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และ 50% หรือ 200 ราย เป็นผู้ผลิตต่างประเทศ คิดเป็น 75% ของการส่งออก และมีแรงงานจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้หากสุดท้ายไทยต้องเสียภาษีตอบโต้สูงกว่าคนอื่น สิ่งที่บริษัทเหล่านี้จะทำคือ ย้ายฐานการผลิต หรือลดการผลิตในไทย มาตรการที่ควรใช้จึงควรเป็นการให้สิทธิประโยชน์ หรือจูงใจที่ทำให้เขาอยู่ต่อ ขณะที่กลุ่มอาหารแปรรูป มีมูลค่าต่อจีดีพี 0.7% ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออกเช่นกัน ในสัดส่วน 76% แต่ที่แตกต่างคือ มีเอสเอ็มอีเกี่ยวข้องจำนวนมาก มีการใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก มีการจ้างงานสูง เชื่อมโยงกับเกษตรกรจำนวนมาก ห่วงโซ่การผลิตยาว เมื่อได้รับผลกระทบการย้ายฐานทำไม่ได้ง่ายๆ ปรับตัวก็ไม่ง่าย ความช่วยเหลือที่รัฐบาลควรให้ ก็จะแตกต่างจากกลุ่มแรก เพราะผลกระทบต่อเนื่องไปหลายอาชีพ
สำหรับผลกระทบในกลุ่มที่ 3 ที่บอกว่าเป็นห่วงที่สุด คือกลุ่มที่เป็นเป้าหมายของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่เข้ามาแย่งตลาด กลุ่มนี้มีความเปราะบางสูงอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง กลุ่มเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอมีเอสเอ็มอีกว่า 120,000 ราย และการจ้างงานสูงกว่า 400,000 คน การรับมือกรณีนี้ อาจต้องคิดถึงการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น ตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) หรือสร้างมาตรฐานสินค้านำเข้าที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับมาตรการอื่น
“เมื่อไม่กี่วันนี้ แม้สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนสูงมาก รายงานการส่งออกของจีนล่าสุด การส่งออกโดยรวมของจีนยังเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% แต่ส่งออกไปสหรัฐฯลดลงประมาณ 20% โตได้อย่างไร แสดงว่าสินค้าจีนมีที่อื่นที่ไปได้ การปกป้องสินค้า ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งทำ ขณะเดียวกันการใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในสถานการณ์นี้ ต้องดูว่า เงินที่ให้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และผู้ผลิตไทย ไม่ได้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อนบ้าน”
ส่วนคำถามถึงนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายเศรษฐพุฒิเห็นด้วยว่า จะช่วยให้เกิดการลงทุน และเพิ่มเม็ดเงิน แต่เวลานี้เราไม่ต้องการดึงคนอย่างเดียว ที่สำคัญในช่วงที่สำนักจัดอันดับ เช่น มูดี้ส์ กำลังจับตาความน่าเชื่อถือของทั่วโลก ประเทศไทยจำเป็นต้องทำตัว “ถูกต้อง” และ “ขาวสะอาด” มีธรรมาภิบาล อยู่ในกรอบจริยธรรม “กาสิโน” อาจเป็นการทำอะไรเทาๆ ถือว่าเป็นความเสี่ยง และอาจจะดีน้อยกว่า การเร่งเสริมจุดแข็งของไทย เช่น การหนุนธุรกิจ การดูแลคนป่วย คนสูงอายุ
ยังมีโอกาสในวิกฤติ ผู้ว่าการ ธปท.ประเมินด้วยว่า แม้วิกฤติครั้งนี้จะหนัก แต่หากเทียบกับวิกฤติโควิด-19 วิกฤติการเงินโลกปี 2551 และวิกฤติต้มยำกุ้ง ผลกระทบจะน้อยกว่าทั้ง 3 วิกฤติ เพราะครั้งนี้ คนไทยไม่ได้รับผลกระทบทุกคนเหมือนช่วงโควิด การส่งออกจะกระทบมากในภาคที่ส่งออกไปสหรัฐฯสูง โดยการส่งออกในช่วง 1 ปีจากนี้ ลดลง 1% ต่ำกว่าการติดลบ 13% ในวิกฤติปี 2551 ขณะที่ภาคบริการในครั้งนี้ได้รับผลกระทบไม่มาก
“ภาพอาจจะดูหนัก มัวหมองเป็นพิเศษ เพราะเศรษฐกิจไทยมีปัญหาสะสมในเชิงโครงสร้าง และยังถูกซ้ำเติมจากปัญหาต่อเนื่อง วิกฤติโควิดยังไม่หาย ค่าครองชีพมาสูงขึ้นอีก หนี้ครัวเรือนสูงมาก เอสเอ็มอีแย่อยู่แล้ว วันนี้บริษัทใหญ่ๆมีปัญหาส่งออก ท่องเที่ยวที่ดีมากชะลอตัว จากความไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน”
ดังนั้น การรอดพ้นวิกฤติที่เกิดขึ้น เศรษฐกิจไทยต้องปรับตัว เพื่อเข้าสู่ “สมดุล” ใหม่หรือระยะที่ 4 ของวัฏจักร แต่ที่ผ่านมา ที่เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญในการปรับตัว หรือยกระดับประสิทธิภาพ เห็นได้จากโครงการสินเชื่อเพื่อการปรับตัวของ ธปท. มีคนกู้น้อยมาก ดังนั้น การกลับมารอบใหม่ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤติ หรือจะดีกว่า ขึ้นกับการตั้งใจของทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม เพราะถ้าไม่ทำอะไร ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยก็จะลดต่ำลงจากในขณะนี้ที่อยู่ระดับ 2% ปลายๆเท่านั้น
แต่หากเราเร่งปรับตัว หาตลาดการค้าใหม่ รองรับการค้าโลก 85% ที่เหลือจะค้าขายกันเองมากขึ้น เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ซึ่งทำยาก แต่ถ้าทำได้ก็เป็นการเปลี่ยนที่ช็อก เป็นศักยภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โตขึ้น
“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งติดต่อกัน กนง.ต้องการช่วยการขยายตัวของเศรษฐกิจ และมองว่าสามารถรองรับช็อกที่จะเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่งแล้ว รวมทั้งยังจะช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ โดยคาดว่า หลังจากนี้ธนาคารพาณิชย์จะทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตามลงมา
ภาพโดยรวมนโยบายการเงินเป็น “การผ่อนคลาย” เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ในเวลานี้อยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง (Neutral Rate) แล้ว ขณะที่การลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป กนง.จะต้องใช้กระสุนที่มีอยู่จำกัดในเวลาที่เหมาะสม และได้ประสิทธิภาพมากที่สุด”
สำหรับการดูแลค่าเงินบาท ซึ่งมีความผันผวน และแข็งค่าขึ้นจากผลของการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งนักลงทุนมองว่า เงินบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หน้าที่ของ ธปท.จะเข้าไปดูแลเสถียรภาพไม่ให้เงินบาทผันผวนเร็วและแรงเกินไป จนกระทบภาคธุรกิจ รวมทั้งกรณีพบว่า มีความพยายามเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วย
ท้ายที่สุด สำหรับเสียงโอดโอยว่า ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้ธุรกิจไม่มีสภาพคล่อง โดยให้เหตุผลว่า มีผลมาจากนโยบายการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (RL) ที่กำหนดให้เหลือเงิน 30% ของรายได้นั้น ผู้ว่าการ ธปท.ยืนยันว่า ตามเกณฑ์ RL ไม่เคยกำหนดรายได้ขั้นต่ำ เพียงแต่ให้พิจารณาตามความเหมาะสมกับความเสี่ยง และความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถใช้เงื่อนไข 30% ในการปฏิเสธสินเชื่อได้.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม