รัฐ–เอกชนระดมสมอง หาทางออกภาษีสหรัฐฯ 36% หวั่นซ้ำเติมส่งออกไทยเจ็บหนัก ด้านสรท. จี้รัฐบาลเร่งปิดดีล ลดภาษีให้เหลือ 20% อย่างน้อย ก่อนเสียหาย 2 ล้านล้านบาทหากเจรจาไม่สำเร็จ อาจกระทบทั้งส่งออก จ้างงาน และลงทุน ต้องใช้เวลาเยียวยา 5–10 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้เรียกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) รวมถึงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เพื่อจัดเตรียมมาตรการเยียวยา รวมถึงข้อเสนอเพิ่มเติม กรณีการจัดเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกาในอัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.68 นี้
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ความกังวลของภาคเอกชนเกี่ยวกับภาษีสหรัฐฯ คือ การเจรจาไม่จบ ไม่ทันกำหนดวันสิ้น 1 ก.พ 68 หากไทยถูกจัดเก็บภาษี 36% ทำให้การส่งออกไทยเสียหายหนัก เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกของไทย สัดส่วน 18% แต่หวังว่าไทยจะไม่เสียเปรียบ เทียบกับเวียดนามแล้ว ไทยเกินดุลสหรัฐฯเพียง 46,000 ล้านสหรัฐฯ ต่างจากเวียดนาม 120,000 ล้านเหรียญฯ สูงกว่าไทย ถึง 3 เท่าตัว
ส่วนประเด็นที่รัฐบาลได้เสนอลดภาษี 0% ให้สหรัฐ นับพันรายการนั้น ไม่ได้มีความกังวล เพราะที่ผ่านมา ไทยได้ลดภาษี 0% ผ่านความตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศ เช่น ผลไม้ นำเข้ามาจากจีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ 0%อยู่แล้ว หากเพิ่มสหรัฐฯ เข้ามา ก็ไม่น่าจะมีผลอะไร และที่สำคัญรัฐบาล ให้นำเข้าเฉพาะสินค้าที่ขาดแคลน และต้องให้ในสิ่งที่ไม่กระทบต่อเกษตรกรของไทย ที่ผ่านมาถือว่ารัฐบาลทำเต็มที่แล้ว แต่ก็ต้องทำไป รวมถึงต้องเจรจาในรายละเอียด แต่ละรายการสินค้าด้วย
นายพิชัย กล่าวภายหลังการหารือว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำงานเพื่อเจรจาต่อเนื่องก่อนจะถึงวันที่ 1 ส.ค. 68 และเตรียมการให้พร้อมทุกอย่าง เนื่องจากไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกทางไหน กระทบรายใดและใครบ้าง เมื่อมีการลงรายละเอียดแล้ว พบว่า อัตราภาษีมีหลายพิกัด เช่น สินค้าไทย มีชิ้นส่วนประกอบเป็นสินค้าผลิตในประเทศ หรือLocal content ไม่ถึง%ที่สหรัฐฯกำหนดไว้ ดังนั้นผลกระทบจะแตกต่างกัน อีกทั้งแต่ละธุรกิจแตกต่างกัน จึงต้องกำหนดมาตรการและเครื่องมือในการช่วยเหลือที่แตกต่างกันไป
“จึงฝากการบ้านให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทำการบ้าน แล้วรวบรวมมาส่งที่ผมภายในวันที่ 11 ก.ค.68 เพื่อพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือ รวมถึงเดินหน้าเจรจาสหรัฐฯให้ได้ข้อยุติก่อนวันที่ 31 ก.ค. นี้”
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้จากไทย 36% ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯ เพราะคู่แข่งอย่างเวียดนาม ถูกเก็บที่ 20% มาเลเซีย 25% หากถึงวันที่ 1 ส.ค.นี้ ไทยไม่สามารถเจรจาให้ปรับลดลงมากได้ จะทำให้ต้นทุนส่งออกไปสหรัฐฯสูงขึ้นจนไม่สามารถแข่งขันได้ และทำให้มูลค่าส่งออกไทยหายไปมากถึง 2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของมูลค่าการส่งออกไทยที่ประมาณ 10 ล้านล้านบาท
โดยสินค้าที่ไทยจะเสียเปรียบคู่แข่งมากที่สุด คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อาหารสำเร็จรูป, ข้าว, ยางพาราและผลิตภัณฑ์, สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น เป็นต้น ซึ่งหลายอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้น ที่อาจนำไปสู่การเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก ส่วนสินค้าเกษตรหลายรายการ ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จะมีผลให้เกิดแรงกดดันต่อราคาผลผลิตภายในประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อรายได้เกษตรกรและครัวเรือนไทยจำนวนมาก
“ใน 3 สัปดาห์ที่เหลือก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้ ไทยต้องปิดดีลให้ได้ หรือปิดดีลภาษีให้ได้ 20% เท่าเวียดนาม ไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบมหาศาล เพราะไม่เพียงกระทบต่อยอดส่งออกไปสหรัฐฯ 2 ล้านล้านบาท และทำให้การส่งออกในภาพรวมปีนี้โตได้เพียง 1% จากเป้าหมาย 1-3% แต่ยังกระทบต่อภาคการผลิต และการลงทุนจากต่างประเทศ ที่อาจลดลงมากในช่วงหลายปีต่อจากนี้ เพราะนักลงทุนจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่สหรัฐฯเก็บภาษีน้อยกว่า ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยชะงักงัน ไม่สามารถแข่งขันได้อีกในระยะยาว”
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. กล่าวว่า การส่งออกไปสหรัฐฯจะชะลอตัวลงในครึ่งปีหลังและจะเห็นการผลกระทบชัดเจนในต้นปีหน้า แต่หากทีมเจรจาปิดดีลภาษีได้ที่ 20% ยังรับได้ เพราะเท่ากับคู่แข่ง แต่หากคงภาษีที่ 36 % ผลกระทบจะขยายวงกว้าง ไม่ใช่แค่เรื่องการส่งออกเท่านั้น แต่จะกระทบเรื่องอื่น เช่น การจ้างงาน การลงทุน และไทยต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูอย่างน้อย 5-10 ปี
ทั้งนี้ สรท. จะยื่นข้อเสนอต่อนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เพื่อเป็นแนวทางดำเนินการ คือ
1.ข้อเสนอสำหรับการเจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯ เช่น สนับสนุนการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเป็น 0% ให้มากที่สุด โดยเฉพาะในรายการที่ไทยยอมรับได้, ขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์รส่งเสริมการลงทุนสำหรับการลงทุนทางตรง (เอฟดีไอ) จากสหรัฐฯ เร่งซื้อสินค้ากลุ่มพลังงานให้มากขึ้นแทนการซื้อจากแหล่งอื่น
2.ข้อเสนอสำหรับการหาตลาดใหม่ทดแทน เช่น สนับสนุนงบปี 69-70 สำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งใน และต่างประเทศ, เพิ่มงบโครงการ SMEs Proactive ให้เอสเอ็มอีบุกตลาดอื่นได้มากขึ้น, เร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีทุกกรอบให้เสร็จโดยเร็ว และเจรจากับประเทศใหม่ๆ เพิ่มเติม ฯลฯ
3.ข้อเสนออื่นเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และปกป้องผู้ประกอบการจากการนำเข้าสินค้าแหล่งอื่น เช่นลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ, ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญ, ชะลอการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำและลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ อาทิ ค่าไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง, ปรามการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และสินค้าสวมสิทธิ์ เป็นต้น