"พาณิชย์" เผย ไทยเตรียมลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ ประกาศเดินหน้าเจรจาภาษีตอบโต้ ก่อนทำความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ ย้ำก่อนลงนามความตกลง ต้องหารือทุกภาคส่วน เสนอครม.-สภาเห็นชอบ ด้าน “จุลพันธ์” สั่งศุลกากรตรวจสินค้าเข้ม ป้องกันแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทย
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ว่า ภายหลังจากสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ที่จะจัดเก็บกับสินค้านำเข้าไทย 19% มีผลวันที่ 7 ส.ค. 68 เป็นต้นไป และคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษได้เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ ไปแล้วนั้น ขณะนี้ ไทยอยู่ระหว่างการจัดทำแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และเตรียมลงนามร่วมกัน เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่า ทั้ง 2 ประเทศเห็นชอบในหลักการที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในเรื่องภาษีตอบโต้ หลังจากนั้น รอสหรัฐฯ นัดเวลาเจรจารายละเอียดของประเด็นต่างๆ เพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นความตกลงระหว่างกัน แต่ก่อนที่ไทยจะลงนามความตกลง จะนำรายละเอียดต่างๆ ที่เจรจาแล้วมาหารือและรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน จากนั้นจะขอความเห็นชอบจากครม.และรัฐสภาตามขั้นตอนของกฎหมายไทย
“การเจรจายังไม่สิ้นสุด ไทยยังต้องผลักดันหลายเรื่อง เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า กฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าในภูมิภาค (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์สูงสุดและปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบรุนแรง กระทรวงกำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะสนับสนุนผู้ประกอบการปรับตัว หาตลาดใหม่ โดยไม่ละทิ้งตลาดสหรัฐฯ”
ส่วนข้อกังวลของผู้เลี้ยงหมูและภาคประชาสังคมกรณีที่ไทยแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ดำเนินการตามที่เจรจากับสหรัฐฯ ได้ เช่น หากจะนำเข้าเนื้อหมูที่สหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดงแรกโตพามีนในการเลี้ยง แต่กฎหมายของไทยห้ามใช้เด็ดขาด และห้ามพบปนเปื้อนในเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดนั้น นายฉันทวิชญ์ กล่าวว่า จะต้องเจรจากับสหรัฐฯ ก่อน และต้องนำข้อมูลรายละเอียดของการเจรจามาหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า ขณะนี้ ไทย-สหรัฐฯ เป็นเพียงเห็นชอบในหลักการร่วมกัน ยังไม่ได้ข้อสรุปสุดท้าย และยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย
“ไม่ว่าไทยเจรจาอะไรกับสหรัฐฯ ก่อนที่รัฐบาลจะทำความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ ต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่แอบทำอะไรลับหลัง หรืออุ๊บอิ๊บทำแน่นอน จากนั้นจึงจะเข้าสู่การพิจารณาของครม. และรัฐสภาก่อน”
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า สั่งการให้กรมศุลกากรเข้มงวดตรวจสอบสินค้าต่างประเทศที่เสี่ยงเข้ามาแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทยและส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อให้ 2 ฝ่ายสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) โดยจะนำเสนอต่อรัฐสภาเร็วๆ นี้
“การลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% จะกระทบรายได้หรือไม่ ต้องมองหลายมิติ เพราะข้อตกลงภาษีจะทำให้การค้าเพิ่มขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ไทยเสียเปรียบภาษีอย่างเดียว”
ส่วนนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไทยจะต้องหารือกับสหรัฐฯ เรื่อง RVC อีกครั้ง คาดจะกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบของไทย ของสหรัฐฯ และของประเทศพันธมิตรไทยรวมกันราว 50% ซึ่งไม่รวมจีน
ขณะที่นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า แนวทางกำกับดูแลสินค้าสวมสิทธิ์ หรือสินค้าผ่านทาง (Transshipment) กรมจะเสริมสร้างความเข้มแข็งของการมอนิเตอร์และกำกับดูแลให้เข้มข้นมากขึ้น ที่ผ่านมากำกับดูแลยังไม่เข้มข้นพอ เพราะเน้นอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดการลงทุน
“หน้าที่ของไทย คือ มอนิเตอร์ และทำให้มั่นใจว่าสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ผลิตหรือประกอบในไทยจริง และมีสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศตามที่ตกลงกันไว้”
สำหรับแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นข้อกังวลสำคัญของสหรัฐฯ และไทยต้องกำหนดไทม์ไลน์ชัดเจนในการดำเนินการ โดยทั่วไปมักกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ไม่ต่ำกว่า 40% แต่รวม Regional Content หรือวัตถุดิบจากอาเซียนให้นับเป็น Local Content ได้ แต่การเจรจาสหรัฐฯ จะกำหนดเท่าไร ต้องคุยรายละเอียดต่อไป
ส่วน น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้รับจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 33 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยในการเปิดตลาดใหม่ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่กลางเดือนส.ค.นี้ นอกจากนี้ กำลังรวบรวมความต้องการและผลกระทบจากภาคเอกชนว่า ต้องการให้ช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมอีก และจะจัดทำเป็นแพคเกจ เสนอนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ ก่อนนำเสนอให้บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ จัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่เหลือ มาใช้ลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ต่อไป