สมาคมนายจ้างฯเสนอ 4 มาตรการด่วนช่วยธุรกิจ หลังเผชิญวิกฤตต้นทุนพุ่งหนัก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

สมาคมนายจ้างฯเสนอ 4 มาตรการด่วนช่วยธุรกิจ หลังเผชิญวิกฤตต้นทุนพุ่งหนัก

Date Time: 11 ส.ค. 2568 06:59 น.

Summary

เอกชนร้องรัฐบาลเร่งออกมาตรการพยุงธุรกิจ หลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะภาษีทรัมป์ 19% ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบด้านการขึ้นค่าแรงที่หลายจังหวัดมีผลบังคับใช้แล้ว 

Latest

ตำนาน 70 ปี "นันยาง"รองเท้าคู่ใจ ส่งรุ่นลิมิเต็ด“พิทักษ์ 68”เคียงข้างทหารไทย 

นายวิสูตร พันธวุฒิยานนท์ นายกสมาคมนายจ้างผู้ประกอบกิจการรับเหมาแรงงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากการประสบภาวะวิกฤตต้นทุน ที่พุ่งขึ้นพร้อมกันหลายด้าน จนทำให้ตัวแทนจากหลายองค์กรต้องออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน 


ปัญหาหลักขณะนี้ คือ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทยในอัตรา 19% จากเดิมที่สินค้าส่งออกบางประเภทถูกเก็บราว 10% แต่ถูกปรับขึ้นตามมาตรการภาษีทรัมป์เป็น 19% ส่งผลให้ผู้ส่งออกมีภาระภาษีเพิ่มอีก 9% กระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสินค้าบางรายการที่ยอดขายในสหรัฐฯ ชะลอตัวอยู่แล้ว แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ผู้ประกอบการยังต้องแบกภาระหนักจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัด อีกทั้งยังมีกฎหมายใหม่ที่บังคับให้จ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 0.25% ของเงินเดือน และจะปรับเพิ่มเป็น 0.50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ทำให้ต้นทุนแรงงานพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ 


เพื่อช่วยบรรเทาปัญหา ทางสมาคมฯ เสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่ 1. ลดเงินสมทบประกันสังคมฝั่งนายจ้างลง 2.5% เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้รัฐบาลรับภาระแทน เพื่อบรรเทาต้นทุนแต่ยังรักษาสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างไว้ 2. เปิดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤต 3. เสนอให้ช่วยเหลือนายจ้างในพื้นที่ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ด้วยการลดเงินสมทบในช่วงปรับตัว 4. การทบทวนและชะลอการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่เพิ่มภาระต้นทุนในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว 

นายวิสูตรกล่าวว่า ทางด้านประเด็นเกษียณอายุยังเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ภาคเอกชนจับตา หลังรัฐมนตรีแรงงานส่งเรื่องให้ฝ่ายกฎหมายตีความข้อกฎหมาย เพื่อพิจารณาปรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งหลายประเทศกำหนดเกษียณที่ 60-65 ปี ขณะที่ประเทศไทยบางภาคส่วนยังกำหนดเกษียณเพียง 55 ปี ซึ่งปัจจุบันน่าจะเป็นเพียงประเทศเดียว โดยประเทศอื่นๆ มีแต่จะเลื่อนปรับอายุเกษียณให้ยาวนานขึ้น 


สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือภาคเอกชน โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกและในประเทศกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายด้าน ผู้ประกอบการต่างมองว่า หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามข้อเสนอที่ได้นำเสนอ จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ และยังคงสามารถรักษาการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ 


ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวและหาทางออกเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ต้องการความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ