จี้หาแรงงานทดแทนแรงงานเขมร

นายอัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า จากการที่ปัจจุบันไทยพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนามจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานชาวกัมพูชา ที่ภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพิงในสัดส่วนสูงถึง 5.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และเมื่อแรงงานเหล่านี้จำนวนมากกลับสู่ประเทศอย่างรวดเร็วจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทย

ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เสนอให้ภาครัฐเร่งจัดหาแรงงานจากเมียนมาและลาวมาทดแทนโดยด่วน พร้อมกับสร้างแรงจูงใจให้แรงงานไทยเข้ามาทดแทนแรงงานกัมพูชาในระยะสั้น โดยเพิ่มค่าจ้างและให้สิทธิพิเศษทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำ หรือลดภาษีดอกเบี้ยแรงงานไทย ขณะเดียวกัน เสนอให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์แรงงานต่างชาติมาทดแทนแรงงานกัมพูชาในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า และศึกษาความเป็นไปได้ที่นำแรงงานจากบังกลาเทศหรือศรีลังกาเข้ามาทำงานทดแทน

“แม้การที่แรงงานกัมพูชากลับประเทศจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ก็กระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาเช่นกัน เพราะแรงงานมากถึง 300,000-500,000 คนกลับประเทศ และไม่มีตำแหน่งว่างงานรองรับในกัมพูชา จะสร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อผู้นำของกัมพูชาด้านเศรษฐกิจ เพราะรายได้แรงงานกัมพูชาจะหายไปเดือนละ 3,000-5,000 ล้านบาท หรือปีละ 36,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จีดีพีกัมพูชาลดลง 3-4% ของจีดีพีกัมพูชา”

นายอัทธ์กล่าวต่อว่า จากการประเมินจำนวนแรงงานกัมพูชาในไทยปี 67 ทั้งที่เข้ามาอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการอยู่ที่ 1.25 ล้านคน ทำงานในภาคการผลิตสำคัญ คือ ก่อสร้าง 300,000 คน ภาคเกษตร 325,000 คน ที่เหลือทำงานในภาคบริการ 625,000 คน โดยแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทยคิดเป็น 20.8% ของแรงงานในไทย และคิดเป็น 15.7% ของแรงงานจากกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามที่ทำงานในไทย นอกจากนี้ แรงงานกัมพูชามีส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยได้ถึง 935,909 ล้านบาท คิดเป็น 5.2% ของมูลค่าจีดีพีไทยที่ 18 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ทำให้ชาวกัมพูชารีบเดินทางกลับประเทศ จนถึงขณะนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ากลับไปแล้วเท่าไร แต่คาดการณ์ว่า น่าจะไม่ต่ำกว่า 300,000-500,000 คน ทำให้คาดการณ์ได้ว่า จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเดือนละ 19,498-32,497 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี 5.2-8.8% โดยภาคบริการจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือ ก่อสร้างและเกษตรกรรม