หนุนสินค้าท้องถิ่นไทยขึ้นทะเบียน GI สร้างมูลค่าเพิ่ม“กระท้อน ร.10”ยกระดับรายได้ชุมชน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

หนุนสินค้าท้องถิ่นไทยขึ้นทะเบียน GI สร้างมูลค่าเพิ่ม“กระท้อน ร.10”ยกระดับรายได้ชุมชน

Date Time: 19 ส.ค. 2568 06:00 น.

Summary

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยขึ้นทะเบียน GI “กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า” ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม-ความเชื่อมั่น ดันมูลค่าตลาดเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุด สร้างรายปีละกว่า 6 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก

Latest

ตำนาน 70 ปี "นันยาง"รองเท้าคู่ใจ ส่งรุ่นลิมิเต็ด“พิทักษ์ 68”เคียงข้างทหารไทย 

นางสาวนุสรา กาญจนกูล อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า จากการที่กรมประกาศขึ้นทะเบียน “กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า” จังหวัดอ่างทอง หรือที่รู้จักกันในนาม “กระท้อนรัชกาลที่ 10” เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 67 แล้วนั้น ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และเพิ่มความนิยมในตัวสินค้าได้มากขึ้น เพราะการขึ้นทะเบียน GI ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และความน่าสนใจให้กับผู้บริโภคยิ่งขึ้น ที่สำคัญสินค้าดังกล่าว ถือเป็นสินค้าที่มีอัตลักษณ์ของชุมชน ที่เพาะปลูกได้เฉพาะในพื้นที่อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทองเท่านั้น จึงช่วยสร้างมูลค่าทางการตลาดให้กับเกษตรกรในพื้นที่กว่าปีละ 6 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก จากก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคยังรู้จักไม่มากนัก 

“การขึ้นทะเบียน GI กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า ไม่เพียงแต่เป็นการรับรองคุณภาพ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ขยายช่องทางการตลาดสู่ตลาดระดับพรีเมียม และตลาดส่งออกได้ง่ายขึ้น นำไปสู่การจัดการและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน รวมทั้งยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้อย่างมั่นคง”

อัตลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
สำหรับ “กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า” เป็นกระท้อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงปลูกต้นกระท้อนพันธุ์ “ทองใบใหญ่” ณ วัดยางทอง เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 50 สร้างความปลาบปลื้มใจแก่เกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจให้เกษตรกรได้ดำรงรักษาพันธุ์กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า จนเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอ่างทอง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นต้นไม้ทรงปลูก ลำดับที่ 27 นอกจากนี้ ในปี 58 กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า ยังได้รับรางวัลชนะเลิศ ด้านรสชาติอันดับ 1 ของจังหวัดอ่างทองด้วย

กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า ปลูกในพื้นที่อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบตะกอนน้ำพา มีชุดดินสิงห์บุรี ที่มีธาตุโพแทสเซียม และฟอสฟอรัสสูง ผสานกับภูมิปัญญาและองค์ความรู้เรื่องการเพาะปลูกของเกษตรกรที่มีความชำนาญและประสบการณ์ ประกอบกับ ภูมิอากาศจัดอยู่ในโซนร้อนและชุ่มชื้น เป็นแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดู โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีเมฆมากและฝนตกชุก ส่งผลให้กระท้อนเจริญเติบโตได้ดี


ทั้งนี้ จากลักษณะของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการเพาะปลูก ทำให้ได้กระท้อนที่มีลักษณะเด่นที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว คือ ลักษณะผลค่อนข้างกลม ขั้วผลนูนเล็กน้อย เปลือกบาง ผิวนอกไม่เรียบ ผลสุกสีเหลืองทอง เนื้อหนานุ่ม ฉ่ำ ไม่แข็งกระด้าง เมล็ดสีน้ำตาล เนื้อและปุยเมล็ดมีรสชาติหวานฉ่ำ กลิ่นหอมหวาน

ตรา GI สร้างความน่าเชื่อถือสินค้า
นางสาวนุสรา กล่าวต่อว่า สำหรับกระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า ภายหลังการขึ้นทะเบียน GI แล้ว กรมได้ช่วยเกษตรกร และผู้ประกอบการ ควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อให้มีคุณภาพสม่ำเสมอ สร้างความน่าเชื่อถือในตัวสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค โดยสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการจัดทำคู่มือปฏิบัติงานและแผนควบคุมคุณภาพ นอกจากนี้ ยังได้ขึ้นทะเบียนสมาชิกผู้ผลิตและผู้ประกอบการ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการตรวจรับรองคุณภาพตามระบบควบคุมภายใน (Internal Control) โดยให้มีการตรวจรับรองประเมินผลภายในพื้นที่ ซึ่งมีคณะกรรมการ หรือคณะทำงานของจังหวัดเป็นผู้ตรวจประเมิน เพื่อรักษามาตรฐานสินค้าให้ตรงตามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้

“จากการตรวจรับรองคุณภาพ ทำให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ จำนวน 13 ราย และ 1 กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผ่านการรับรองการออกใบอนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์ GI เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 68 ซึ่งสามารถนำตราสัญลักษณ์ GI ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เพื่อประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”

ขณะเดียวกัน กรมยังช่วยสร้างการรับรู้และส่งเสริมช่องทางการตลาด รวมทั้งส่งเสริมประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีในการพัฒนาการผลิตและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของกรม เช่น งาน GI Market ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด โครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อยกระดับมูลค่า GI ไทยให้ตอบโจทย์ตลาดโลก การอบรมช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ฯลฯ

หนุนสินค้าท้องถิ่นขึ้นทะเบียน GI
นางสาวนุสรา กล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ต้องการให้เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการสินค้าท้องถิ่นไทยที่มีอัตลักษณ์ประจำถิ่น นำสินค้าของตนเองมาขึ้นทะเบียน GI ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าแล้ว ยังเป็นการรับรองแหล่งกำเนิดและคุณภาพของสินค้า ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในตัวสินค้า และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าได้บริโภคสินค้า GI แท้ อีกทั้งยังช่วยคุ้มครองสินค้า GI ไม่ให้คนนอกชุมชนแอบอ้างชื่อสินค้า GI ไปใช้กับสินค้าตนเอง รวมถึงส่งเสริมความรู้และเทคนิคการปลูก การบริหารจัดการให้กับเกษตรกร ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันโดยการใช้ตราสัญลักษณ์ GI ในการทำตลาด และสร้างความน่าเชื่อถือให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ และต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในปี 68 กรมมีเป้าหมายผลักดันการขึ้นทะเบียน GI ไทยไม่ต่ำกว่า 22 สินค้า คาดจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันขึ้นทะเบียนแล้ว 234 รายการ ครอบคลุม 77 จังหวัด เป็นภาคเหนือ 56 สินค้า ภาคกลาง 53 สินค้า ภาคตะวันออก 22 สินค้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 52 สินค้า และภาคใต้ 51 สินค้า ซึ่งมีทั้งข้าว เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ฯลฯ, พืช/ผัก/ผลไม้ เช่น ทุเรียนปราจีน ฯลฯ, ประมง เช่น ปลิงทะเลเกาะยาว ฯลฯ, อาหาร เช่น ไข่เค็มไชยา ฯลฯ, ผ้า เช่น ผ้าตีนจกแม่แจ่ม ฯลฯ, ไวน์/สุรา เช่น เหล้าแป้ ฯลฯ, ปศุสัตว์ คือ เนื้อโคขุนโพนยางคำ, และหัตถกรรม เช่น ร่มบ่อสร้าง ฯลฯ สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นได้กว่า 77,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีสินค้า GI ไทยที่ขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ 9 สินค้า 33 ประเทศ เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ที่สหภาพยุโรป ฯลฯ และยังอยู่ระหว่างยื่นคำขออีก 7 สินค้า ใน 30 ประเทศ เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ที่มาเลเซีย ฯลฯ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ