แบงก์แห่ลดดอกเบี้ยตาม กนง. ส่งต่อให้ผู้กู้ร้อยเปอร์เซ็นต์

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

แบงก์แห่ลดดอกเบี้ยตาม กนง. ส่งต่อให้ผู้กู้ร้อยเปอร์เซ็นต์

Date Time: 18 ส.ค. 2568 04:45 น.

Summary

ก็ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ เมื่อ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และ ธนาคารรัฐ กว่าสิบแห่ง พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ทั้ง ดอกเบี้ย MRR MLR MOR โดยมีผลทันทีตั้งแต่ 14–15 สิงหาคม เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจทุกกลุ่ม

Latest

ตำนาน 70 ปี "นันยาง"รองเท้าคู่ใจ ส่งรุ่นลิมิเต็ด“พิทักษ์ 68”เคียงข้างทหารไทย 

ก็ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ เมื่อ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และ ธนาคารรัฐ กว่าสิบแห่ง พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ทั้ง ดอกเบี้ย MRR MLR MOR โดยมีผลทันทีตั้งแต่ 14–15 สิงหาคม เพื่อบรรเทาภาระหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจทุกกลุ่ม หลังจากที่  กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 1.50% เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ทำให้การลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ สามารถส่งผ่านไปยังผู้กู้ทุกกลุ่มได้เต็ม 100% เพื่อลดภาระดอกเบี้ย หลังจากที่ได้รับเสียงบ่นจากผู้กู้ว่า การลดดอกเบี้ย 0.25% ของ กนง.ครั้งที่แล้ว แบงก์พาณิชย์และแบงก์รัฐส่งผ่านไปให้ผู้กู้น้อยมาก ครั้งนี้เลยส่งต่อกันเต็มที่

ว่ากันว่า แบงก์สามัคคีกันลดดอกเบี้ยครั้งนี้ มีแรงส่งจากแบงก์ชาติ ช่วยหนุนด้วย

ข้อมูลจาก เว็บไซต์การเงินธนาคาร เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ เป็นแบงก์แรกที่ประกาศลดดอกเบี้ยนำร่องทันทีในวันที่ 13 ส.ค. หลังจากที่ กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยมีผลตั้งแต่ 14 ส.ค.เป็นต้นไป ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ทั้งลูกค้าชั้นดีรายใหญ่และรายย่อย MLR MOR MRR โดยมีแบงก์ใหญ่ 6

อันดับแรกทยอยลดดอกเบี้ยลง 0.25% คือ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต มีผลตั้งแต่ 15 ส.ค. และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผลตั้งแต่วันนี้ 18 ส.ค.

ธนาคารรัฐก็ประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% นำร่องโดย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเอสเอ็มอี บสย. มีผลตั้งแต่ 15 ส.ค. ส่วน ธ.ก.ส. ธนาคารอิสลาม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า EXIM มีผลตั้งแต่ 18 ส.ค.วันนี้

ข้อมูลจาก วารสารการเงินธนาคาร ระบุว่า สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย 16 แห่ง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 13.658 ล้านล้านบาท  และ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย 12 แห่ง สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 651,994 ล้านบาท รวมแล้ว สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยมียอดคงค้างอยู่ที่ 14.30 ล้านล้านบาท ยังไม่รวม สินเชื่อในระบบแบงก์รัฐ  ที่ยังหาตัวเลขไม่ได้ การลดดอกเบี้ยลง 0.25% จึงช่วยลดภาระดอกเบี้ยลงได้มากทีเดียว

ผมลองเอา สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ 14.30 ล้านล้านบาท  ไปคิดดูเล่นๆ ถ้าลดดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยผู้กู้ลงไปได้เท่าไหร่ เห็นตัวเลขแล้วตกตะลึง สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้ถึงปีละ 35,750 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่เยอะมาก

อีกกลุ่มใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยคือ “หนี้ครัวเรือน” ข้อมูลหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 1/2568 มียอดคงค้างอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.4% ของจีดีพี ลดลงจากสิ้นปี 2567 เพียงเล็กน้อย (16.4 ล้านล้านบาท) เมื่อแบ่งหนี้ครัวเรือนทั้งหมดออกตามลักษณะของหนี้จะพบว่า คนไทยเป็นหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์มากเป็นอันดับ 1 ถึง 34.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด อันดับ 2 หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค คิดเป็น 28% ของหนี้ครัวเรือน อันดับ 3 หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ คิดเป็น 17.7% ของหนี้ครัวเรือน อันดับ 4 หนี้เพื่อยานยนต์ คิดเป็น 10.2% ของหนี้ครัวเรือน อันดับ 5 สินเชื่ออื่นๆ คิดเป็น 9.8% ของหนี้ครัวเรือน

การ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% จะช่วย ลดภาระดอกเบี้ยหนี้ครัวเรือนได้ถึงปีละ 40,875 ล้านบาท เดือนละ 3,406 ล้านบาท วันละ 114 ล้านบาท ถือว่าไม่น้อยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ คุณวรภัค ธันยาวงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีคลัง ได้โพสต์ลงเฟชบุ๊กว่า การลดดอกเบี้ยจะช่วยบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินที่สูงเกินจำเป็น และกระตุ้นการลงทุน เศรษฐกิจจริงของไทยยังอ่อนแอ ต้องการแรงส่ง การลดดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง อาจเป็นสัญญาณเชิงบวก ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และเร่งให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจหมุนแรงขึ้นอีกครั้ง การพร้อมใจกันลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะเกิดแรงส่งขนาดไหน ต้องติดตามดู.

“ลม เปลี่ยนทิศ”


คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ