เปิดกลไกกัมพูชาปั่นข่าวปลอม เมื่อความจริงไล่ตามคำโกหกที่ดังและเร็วกว่า

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดกลไกกัมพูชาปั่นข่าวปลอม เมื่อความจริงไล่ตามคำโกหกที่ดังและเร็วกว่า

Date Time: 25 ส.ค. 2568 04:59 น.

Summary

ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาล่าสุด ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแนวชายแดน แต่ขยายเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเข้มข้น รัฐบาลกัมพูชาถูกวิจารณ์ว่ากำลังสร้าง “ระบบนิเวศข่าวปลอม” (Fake News Ecosystem) ใช้เป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งควบคุมความคิดคนในประเทศ ปั่นกระแสโจมตีประเทศไทย

Latest

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคนิวโลว์ 33 เดือน

ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาล่าสุด ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแนวชายแดน แต่ขยายเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเข้มข้น รัฐบาลกัมพูชาถูกวิจารณ์ว่ากำลังสร้าง “ระบบนิเวศข่าวปลอม” (Fake News Ecosystem) ใช้เป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งควบคุมความคิดคนในประเทศ ปั่นกระแสโจมตีประเทศไทย

ข่าวปลอมจากกัมพูชาที่ถูกปล่อยออกมาจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ เป็นหนึ่งในเครื่องมือของ “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร” (Information Operation : IO) ใช้ “ข้อมูล” ทุกประเภท ทั้งข่าวจริง ข่าวบิดเบือน ข่าวปลอมทุกรูปแบบ การหลอกลวงออนไลน์ และการสร้างชาตินิยม

ความขัดแย้งล่าสุดในปี 2568 จึงไม่ได้สะท้อนปัญหากรณีพิพาทระหว่าง 2 ประเทศ กระทบต่อความปลอดภัยชายแดน การค้า-การลงทุนระหว่างกันเท่านั้น แต่ยังฉายภาพความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร” ของกัมพูชา ที่ได้วางรากฐานสำหรับการควบคุมข้อมูลในโลกดิจิทัลด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาเกตเวย์อินเตอร์เน็ตแห่งชาติ (National Internet Gateway : NIG) เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2564

นโยบาย NIG ของรัฐบาลกัมพูชามีเป้าหมายรวมศูนย์ช่องทางอินเตอร์เน็ตของทั้งประเทศไว้ที่จุดเดียว รัฐมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จ ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการ “บล็อกหรือตัดการเชื่อมต่อ” ข้อมูลใดๆที่ถูกตีความว่าอาจกระทบต่อความมั่นคง และยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตต้องเก็บข้อมูลผู้ใช้งานไว้อย่างน้อย 1 ปี

นโยบายนี้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นเครื่องมือควบคุม โลกอินเตอร์เน็ต บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต คณะกรรมาธิการสิทธิกฎหมายระหว่างประเทศ (ICJ) และองค์กรสิทธิมนุษยชนอีก 31 แห่ง จึงเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาเพิกถอนกฎหมายนี้ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง

บทเรียนนโยบาย Internet Gateway

ในยุคดิจิทัลที่การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ รูปแบบการจัดการอินเตอร์เน็ต เกตเวย์ของแต่ละประเทศ จึงสะท้อนปรัชญาการปกครองและการให้ความสำคัญกับเสรีภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี แบ่งออกได้เป็น 2 แบบหลัก ได้แก่ Single Gateway การรวมศูนย์โครงข่ายอินเตอร์เน็ตโดยรัฐควบคุมการเชื่อมต่อจากประเทศทั่วโลก ผ่าน “ประตูเดียว” เพื่อตรวจสอบ-บล็อกข้อมูลได้ง่าย แต่ขาดความรวดเร็ว กระทบเสรีภาพและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เช่น ประเทศจีน, เกาหลีเหนือ, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย, เมียนมา และกัมพูชา

อีกแบบคือ Multi Gateway การเปิดให้มีหลายจุดเชื่อมต่อโครงข่ายอินเตอร์เน็ตจากนอกประเทศ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพ ลดต้นทุน และสร้างการแข่งขัน อาทิ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และไทย

โดยสำหรับประเทศไทยนั้น ได้เลือกใช้ระบบ Multi Gateway ที่มีเกตเวย์มากกว่า 10 จุด มีผู้ให้บริการจากบริษัทต่างๆ ช่วยกระจายการโหลดข้อมูลระหว่างประเทศ หากมีเกตเวย์แห่งใดล่ม สามารถใช้เส้นทางอื่นหลากหลายทดแทนได้ทันที ทำให้เกิดประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำลง และที่สำคัญส่งเสริมเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลมากกว่า

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยดำริจะใช้นโยบาย Single Gateway ในปี 2558 แต่ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชน นักธุรกิจ และนักวิชาการ จนต้องยกเลิกไป

ส่งผลให้ไทยได้รับโอกาสในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ แม้ต้องแลกมาด้วยความท้าทายในการควบคุมเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์และภัยคุกคามทางไซเบอร์มากกว่า

ควบคุมการสื่อสารจนคนกัมพูชาเชื่อข่าวปลอมง่าย

นโยบาย NIG ของกัมพูชากลายเป็นสัญลักษณ์สะท้อนการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างชัดเจน เมื่อผนวกเข้ากับการควบคุมสื่ออย่างเข้มข้น รัฐบาลจึงสามารถกำหนดทิศทางข้อมูลข่าวสารภายในประเทศได้แทบเบ็ดเสร็จ

อินฟลูเอนเซอร์ที่ออกมาเรียกร้องให้เปิดเผยจำนวนทหารผู้เสียชีวิต หรือเผยภาพที่สะท้อนความจริงในสนามรบ ต่างถูกตั้งข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง และบางรายถึงขั้นหายตัวไปจากโลกออนไลน์อย่างไร้ร่องรอย

ขณะเดียวกันข่าวอื้อฉาว เช่น การพบศพชาวเกาหลีใต้ซึ่งเชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองกัมปอต ก็แทบไม่ปรากฏในสื่อกัมพูชาเลย

สภาพแวดล้อมนี้สะท้อนถึงกลไกการคุมสื่อที่รัฐใช้เป็นระบบ ทั้งการอาศัยกระทรวงข้อมูลข่าวสาร กฎหมายความมั่นคง และ พ.ร.บ.สื่อสาร เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตหรือดำเนินคดีอาญากับผู้สื่อข่าวที่วิจารณ์รัฐบาล โดยที่สื่อหลักมีแนวทางสอดคล้องกับรัฐ ขณะที่สถานีโทรทัศน์และวิทยุใหญ่ส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของนักการเมืองหรือเครือญาติพรรครัฐบาล โดยเฉพาะตระกูลฮุน เซน

กรณีนักข่าวกัมพูชาถูกถอนใบอนุญาต หลังนำเสนอเสียงชาวบ้านและทหารที่วิจารณ์เหตุบ้านหนองจาน ซึ่งถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง

กรณีล่าสุดการบิดเบือนผลประชุมแม่ทัพไทย-กัมพูชา จนกองทัพไทยต้องออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่า ไม่เคยมีข้อตกลงรื้อรั้วลวดหนามแลกกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

การควบคุมสื่อแบบดั้งเดิมผสมเข้ากับการกำกับพื้นที่ดิจิทัลอย่างเข้มข้น ทำให้ข้อมูลข่าวสารในกัมพูชาต้องผ่านการคัดกรองจากรัฐบาลเกือบทั้งหมด สิ่งที่ประชาชนเข้าถึงได้คือสิ่งที่รัฐบาลอนุญาตให้เห็น ขณะที่เสียงวิจารณ์หรือข้อมูลทางเลือกถูกปิดกั้นหรือบิดเบือนอย่างเป็นระบบ

สังคมกัมพูชาจึงเชื่อในเรื่องเล่าฝ่ายเดียวอย่างไม่มีการตรวจสอบ การสำรวจขององค์กรอิสระพบว่า เยาวชนกัมพูชาจำนวนมากขาดการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ไม่สามารถแยกแยะความจริงออกจากความปลอม เมื่อขาดกลไกถ่วงดุล ข่าวที่ผลิตจากสื่อกระบอกเสียงรัฐหรือเพจยอดนิยม จึงถูกยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงและไม่มีการตั้งคำถาม

เส้นทางสู่สังคมข่าวปลอมของกัมพูชาไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการกวาดล้างสื่ออิสระอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Cambodia Daily ถูกบังคับให้ปิดตัวลง วิทยุ Radio Free Asia หยุดออกอากาศ และ Voice of Democracy ถูกถอนใบอนุญาตในปี 2566

เมื่อเสียงตรวจสอบเหล่านี้เงียบหาย ประชาชนจึงเหลือทางเลือกน้อย และต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มโซเชียลเป็นหลัก แต่เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักที่น่าเชื่อถือคอยตรวจสอบ ข่าวลือและข่าวปลอมจึงแพร่กระจายง่ายดาย

ผลที่ตามมาปรากฏชัดเจนในดัชนี Reporters Sans Frontières (RSF) หรือที่เรียกกันว่า World Press Freedom Index เป็นการจัดอันดับเสรีภาพของสื่อในประเทศต่างๆ โดยกัมพูชาตกลงไปอยู่อันดับ 161 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีเสรีภาพสื่อน้อยที่สุดในโลก

เฟซบุ๊กแพลตฟอร์มหลักเสพข่าวสาร

กัมพูชามีผู้ใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) ประมาณ 13.8 ล้านบัญชี หรือกว่า 76% ของประชากรทั้งประเทศกว่า 17 ล้านคน จนถูกขนานนามว่าเป็นประเทศเฟซบุ๊ก (Facebook Nation) ประชาชนจำนวนมหาศาลเสพข่าวสารจากแพลตฟอร์มเดียว

นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2556 เฟซบุ๊กกลายเป็น “สภาแห่งที่สอง” ที่ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านใช้เป็นสนามต่อสู้ทางการเมือง ต่อมาเมื่อพรรคฝ่ายค้านถูกยุบในปี 2560-2561 รัฐบาลกัมพูชายิ่งใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางควบคุมและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนกว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศตัวเลขผู้ชุมนุมที่เกินความเป็นจริง การกล่าวหาเรื่องการทุจริตเลือกตั้ง การโจมตีบุคคลต่างๆ

ขณะที่ผู้นำกัมพูชาอย่างฮุน เซน ใช้บัญชีเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามกว่า 15 ล้านบัญชีเป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพล โดยมีข้อสงสัยว่ามีการใช้บัญชีปลอมเพื่อปั่นตัวเลขผู้ติดตาม ซึ่งฮุน เซนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด

รัฐบาลกัมพูชายังได้ออกคำสั่งต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) ที่มีบทลงโทษทั้งการจำคุกและการปรับเงิน ซึ่งหลายองค์กรเอกชนได้ออกมาเตือนว่า กฎหมายฉบับนี้มีแนวโน้มที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสื่อและการวิจารณ์รัฐบาล มากกว่าที่จะเป็นการปราบปรามข่าวปลอม

ปั่นสงครามข้อมูลเต็มรูปแบบ

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด จึงคือจุดที่ข่าวปลอมพัฒนาไปสู่การเป็น “อาวุธดิจิทัล” อย่างแท้จริง คลิปสงครามรัสเซีย-ยูเครนถูกนำมาอ้างว่าเป็นการโจมตีของไทย, ภาพเกมจำลองถูกนำมาบิดเบือนเป็นเครื่องบิน F-16 ของไทยตก, การนำภาพละครไทย มาอ้างว่าเป็นทหารไทยที่ฆ่าชาวกัมพูชา หรือการเกณฑ์ชาวบ้าน เด็ก และคนชราออกมาเล่นบทผู้ถูกกระทำ

ทั้งหมดคือยุทธศาสตร์การผสมผสานโฆษณาชวนเชื่อกับลัทธิชาตินิยม ผลคือเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความเท็จพร่าเลือนลง จนประชาชนเชื่อมั่นในข้อมูลที่รัฐอยากให้เชื่อ มากกว่าความจริง

ส่วนกลุ่มทุนที่ถูกมองว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยง คือกลุ่มทุนสีเทาอย่าง Huione ซึ่งเชื่อมโยงกับครอบครัวผู้นำกัมพูชา เครือข่ายอยู่ในระดับอาณาจักร เป็นทุนยักษ์ใหญ่ที่แผ่ขยายอิทธิพลจากธุรกิจการเงิน ฟินเทค คริปโต และแพลตฟอร์มออนไลน์ ไปจนถึงระบบชำระเงินและตลาดซื้อขายใน Telegram เครือข่ายครอบคลุมดังกล่าวถูกเชื่อว่าเป็นฐานสนับสนุนปฏิบัติการ IO และสงครามไซเบอร์ระดับภูมิภาค การปั่นข่าวปลอมจึงไม่ได้หยุดแค่ในประเทศ แต่กลายเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้ต่อสู้ได้แบบไร้พรมแดน

ข่าวปลอมที่ถูกทำให้กลายเป็นอาวุธในครั้งนี้ สามารถบ่อนทำลายการเมือง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างราบคาบ โดยกัมพูชายังไม่มีท่าทีจะหยุดยั้ง ตรงกันข้ามกลับยกระดับสร้างระบบนิเวศข่าวปลอมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ราวกับประกาศต่อโลกว่าข่าวปลอมคือทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ เป็น “โรงงานผลิตข่าวปลอม” ที่พร้อมส่งออกไปทั่วโลก

ในห้วงเวลาที่ชายแดนยังคงร้อนระอุ และไม่รู้ว่าเสียงปืนจะปะทุขึ้นอีกเมื่อใด กัมพูชายังคงเดินเกมใช้ข่าวปลอมเป็นอาวุธบิดเบือนความจริง ปั่นกระแสโลกให้เข้าข้างตนเอง พร้อมเร่งสร้างกระแสชาตินิยม ทำให้ประชาชนกัมพูชาร่วมกันเดินหน้ากดดันไทยไม่หยุดหย่อน

นี่คือสงครามข้อมูลเต็มรูปแบบ ที่อันตรายไม่แพ้สงครามด้วยกระสุนจริง และหากคนไทยยังต่างคนต่างอยู่ ไม่สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล ไม่ร่วมมือกันตรวจสอบและสู้กลับในสนามดิจิทัล วันหนึ่งเราอาจต้องยอมรับความจริงอันขมขื่นว่า ผู้ชนะจะไม่ใช่ฝ่ายที่พูดความจริง ปฏิบัติตามครรลองที่พึงกระทำ แต่เป็นฟากฝั่งที่โกหกได้ดังและเร็วกว่า.

ทีมเศรษฐกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ