กรมศุลกากรแก้กฎหมายให้เป็นไปตามข้อตกลงภาษีทรัมป์ คาดเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ภายในปลายปีนี้ ต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการ ทำรัฐสูญรายได้ราว 8,000 ล้านบาท สศค.เผยเดือน ก.ค. เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี รับอานิสงส์ส่งออกเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13
นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรอยู่ระหว่างแก้กฎหมายเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าให้กับสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการ เป็นไปตามข้อตกลงนโยบายภาษีสหรัฐฯ คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ภายในปลายปี 2568 นี้ และได้มีการประเมินว่าในปีงบประมาณ 2569 รัฐจะสูญเสียรายได้จากการลดภาษีดังกล่าวราว 8,000 ล้านบาท จากปัจจุบันกรมศุลกากรจัดเก็บรายได้ภาษีนำเข้าจากสหรัฐเฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท ถือว่ารายได้รัฐที่จัดเก็บภาษีจากสินค้าสหรัฐหายไปเกือบ 50%
สำหรับประเด็นการใช้ชิ้นส่วนในการผลิตในประเทศ (Local content) ปัจจุบันอยู่ที่สัดส่วน 40% คาดว่าสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 50% แต่มั่นใจว่าผู้ประกอบการไทยจะปรับตัวได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประสานผู้ผลิตให้เตรียมตัวรับมือเพิ่มสัดส่วน Local content และสุดท้ายจะเป็นผลดีระยะยาวต่อผู้ผลิตและเศรษฐกิจในประเทศ
ส่วนประเด็นการเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ์และสินค้าผ่านแดนนั้น ได้มีการประสานความร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศในการตรวจสอบสินค้ากลุ่มเสี่ยงกว่า 80 รายการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ออกใบอนุญาตรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้กับผู้ผลิต และกรมศุลกากรจะเป็นหน่วยงานสุ่มตรวจสินค้าที่นำเข้าและส่งออกอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสินค้าที่มีการกำกับว่าเมดอินไทยแลนด์หรือมีแหล่งผลิตและแหล่งกำเนิดในประเทศเท่านั้น
สำหรับแนวโน้มการจัดเก็บรายได้ของกรมในปีงบประมาณ 2568 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ขอลดเป้าประมาณการลง อยู่ที่ 112,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากนโยบายของรัฐ ทำให้การจัดเก็บรายได้หายไป อีกทั้งการจัดทำข้อตกลงการค้า (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศ ซึ่งมีหลายสินค้าที่มีอัตราภาษีนำเข้าเป็น 0% ส่วนในปีงบประมาณ 2569 ยังไม่ปรับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ และยังคงจับตาผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดต่อไป
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. 68 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2568 อยู่ที่ 64.2% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2568 ทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 261.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. 68 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนและการท่องเที่ยวต่างชาติส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อน จำเป็นต้องติดตามทิศทางการส่งออกสินค้าครึ่งปีหลังและการผลิตอุตสาหกรรม ภายหลังมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค. 2568 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป
สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ก.ค. 68 อยู่ที่ 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ที่อัตรา 11% ส่วนเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 17.7% ขณะที่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 10.2% ในหมวดการก่อสร้าง ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.2% ภาคการท่องเที่ยวเดือน ก.ค. มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 2.61 ล้านคน ลดลง 15.9% ขณะที่คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ 21.8 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 0.5%