จับตา“โครงการคนละครึ่ง 2025”เวอร์ชั่นนายกฯอนุทิน คาดลงทะเบียนเร็วสุด ต.ค.นี้ ผ่านงบ2.5หมื่นล้าน ตัวช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย หรือเดิมพันทางการเมือง ปูทางสู่การเลือกตั้งใหม่เมื่อโจทย์ไม่เหมือนเดิม
หลังจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” และการแต่งตั้ง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สร้างความคาดหวังและคำถามให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการหยิบนโยบายยอดนิยมอย่าง "คนละครึ่ง" กลับมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนก่อนการ “ยุบสภา”เพื่อนำไปสู่ การเลือกตั้งใหม่
จะเห็นได้ว่า แม้จะมีเวลาจำกัด แต่การประกาศนำ “โครงการคนละครึ่ง” กลับมาใช้ก็เป็นเหมือนการประกาศเจตจำนงที่ชัดเจนว่า รัฐบาลต้องการสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์การเมือง คำถามที่ตามมาคือ นโยบายนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงเครื่องมือสร้างความนิยมทางการเมืองในระยะสั้น?
บนความคาดหวังของประชาชน ต่อ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ผ่านผลสำรวจสวนดุสิตโพล ซึ่งระบุ ภารกิจเร่งด่วนที่อยากให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ดำเนินการมากที่สุด คือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพและปากท้อง 68.26%
ย้อนไป เมื่อครั้งที่โครงการ "คนละครึ่ง" ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ปี2563) นั้น ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างฉับพลัน ธุรกิจหยุดชะงัก ประชาชนสูญเสียรายได้ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจึงเป็นมาตรการที่จำเป็นและเห็นผลทันทีในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อน
แต่ในปี 2568 นี้ สถานการณ์แตกต่างออกไปมาก เศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติฉุกเฉินแต่อย่างใด แต่กลับเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่า เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง การส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และปัญหาค่าครองชีพที่กดดันกำลังซื้อในระยะยาว การนำมาตรการเดิมมาใช้กับโจทย์ที่ต่างไป จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า จะยังคงมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับในอดีตหรือไม่
โครงการคนละครึ่งในยุคเดิม ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านตัวเลขงบประมาณโครงการตลอด 5 เฟส มีมูลค่ารวมกว่า 2.3 แสนล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายของประชาชน และเป็นเงินสมทบจากรัฐ
ซึ่งสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มหาศาล และช่วยผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าถึงได้ง่าย
นอกจากนี้ ผลสำรวจความพึงพอใจจากประชาชนก็อยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากเป็นนโยบายที่ "จับต้องได้" และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินจำนวนมหาศาล เหล่านี้มาจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็น ภาระหนี้สาธารณะ ที่ต้องมีการบริหารจัดการในระยะยาว เป็นความสำเร็จที่มาพร้อมกับต้นทุนทางการคลังที่สูงเช่นกัน
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าจับตา คือ การเข้ามาของ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สร้างความน่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยประสบการณ์ในแวดวงการเงินการคลังมาอย่างยาวนานและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง บทบาทของเขาในการผลักดันนโยบายคนละครึ่งในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องพิจารณาอย่างรอบด้านทั้งในแง่ของ วินัยการคลัง และ ความยั่งยืนของเศรษฐกิจ
แม้จะมีงบประมาณกลางปี 2569 จำนวน 25,000 ล้านบาท พร้อมสำหรับดำเนินโครงการ แต่โจทย์ที่ท้าทายกว่านั้นคือ จะทำอย่างไรให้มาตรการนี้ไม่เป็นเพียงการ “ซื้อใจ” ประชาชนในระยะสั้น แต่สามารถ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งภาคธุรกิจและประชาชนในระยะยาว
ในทางเศรษฐกิจ นโยบายคนละครึ่งสามารถช่วยประคองกำลังซื้อ และสร้างบรรยากาศคึกคักให้กับธุรกิจขนาดเล็กและร้านอาหารได้อย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้าม ในมุมมองทางการเมือง นโยบายที่ให้ผลลัพธ์ทันทีนี้ ย่อมเป็น "เครื่องมือ" ที่ทรงพลัง ในการสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลใหม่ก่อนการเลือกตั้ง
โดยกระทรวงการคลังเผยความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งล่าสุดว่า คาดจะเริ่มให้บริการได้ภายใน 30-45 วัน หรือ เร็วสุด เดือนต.ค.นี้
การนำโครงการคนละครึ่งกลับมาในครั้งนี้อาจถูกมองได้ว่าเป็นทั้ง “ตัวช่วย” ในการฟื้นกำลังซื้อ และเป็น “เดิมพัน” ที่มีความเสี่ยงในเชิงการเมือง สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องพิสูจน์ให้ได้คือ ความยั่งยืน ของมาตรการ ไม่ใช่แค่ตัวเลขการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น
หากเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยตัวเองหลังมาตรการสิ้นสุดลง ความนิยมของรัฐบาลก็จะตามมาอย่างยั่งยืน แต่หากเศรษฐกิจกลับมาซบเซาเหมือนเดิม คนละครึ่งก็อาจเป็นเพียงการลงทุนทางการเมืองที่ใช้เงินงบประมาณมหาศาลโดยไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
ดังนั้น คำตอบสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่ว่านโยบายนี้ "ดี" หรือ "ไม่ดี" แต่อยู่ที่ว่า รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในอนาคตของเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง
ด้าน รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า มาตรการคนละครึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง
โดยผลจากงานสำรวจ พบข้อมูลเชิงประจักษ์ ว่า “มาตรการคนละครึ่ง” ช่วยดันยอดขายร้านค้ารายย่อยพุ่ง 174% และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ร้านค้าขนาดเล็กได้ประโยชน์สูงสุด โดยยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า
แต่ผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาพรวมไม่สูงนัก เพราะคนส่วนใหญ่เพียงเปลี่ยนที่จ่าย ไม่ได้ใช้จ่ายเพิ่ม และลดการใช้จ่ายนอกโครงการ ฉะนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้น ความเชื่อมั่นต่อรายได้ในอนาคตดีขึ้น ความมั่นคงในงานดีขึ้น ปัจจัยความเชื่อมั่นเหล่านี้จะส่งผลให้มาตรกการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมีประสิทธิผลสูงขึ้นตามไปด้วย แม้นรัฐบาลจะอยู่สั้นเพียง 4 เดือนแต่หากสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้ก็จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney