ก๊าซ LNG กำแพงภาษีทรัมป์ กับความไม่แฟร์ของค่าไฟ

Experts pool

Columnist

Tag

ก๊าซ LNG กำแพงภาษีทรัมป์ กับความไม่แฟร์ของค่าไฟ

Date Time: 31 พ.ค. 2568 07:36 น.

Video

ทำไมกองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้มละลาย ? | Thairath Money Night Stand EP.8

Summary

ผ่านมาถึงยุคสงครามภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งแน่นอนว่าอเมริกาอยากกดดัน(หรือขู่กรรโชก)ให้ประเทศต่างๆ นำเข้า LNG จากอเมริกามากขึ้น รวมถึงเรียกร้องให้ไปร่วมลงทุนในแหล่ง LNG อเมริกัน โดยเฉพาะอะแลสกา ผู้เขียนเห็นว่าประชาชนทุกคนในฐานะผู้ใช้ไฟ ควรต้องตั้งคำถามและข้อสังเกตดังๆ ถึงรัฐบาลไทย รวมถึงบริษัทเอกชนไทยที่กำลังเจรจาเรื่อง LNG อย่างน้อย 5 ข้อ

Latest


เรื่องฮือฮาประจำเดือนพฤษภาคม 2568 หนีไม่พ้นข่าว สารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ชาวไทยหนึ่งเดียวที่ได้พบปะพูดคุย ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ในประเทศกาตาร์

ผู้เขียนคิดว่าเหตุผลหลักที่คนฮือฮากับข่าวนี้มากก็คือ เจ้าสัวพลังงานในข่าวเป็นคนไทยคนแรกที่ได้พบ โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ประธานาธิบดีผู้นี้ประกาศ “สงครามภาษี” กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก – ได้พบก่อนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่รัฐไทยคนไหนๆ เสียอีก (ในขณะเดียวกัน คนไทยจำนวนมากก็ยังไม่หายสงสัยว่า มีใครในคณะรัฐมนตรีไทยที่ถูกห้ามเข้าอเมริกาบ้าง หลังเหตุการณ์ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งส่งผลให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐตำหนิไทยอย่างรุนแรง)

ก่อนหน้านี้ราวหนึ่งสัปดาห์ ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีข่าวปลัดกระทรวงพลังงานและผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน เดินทางไปรัฐอะแลสกา –

“...ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เดินทางไปรัฐอะแลสกา เพื่อพบปะหารือกับผู้ว่าการรัฐอะแลสกา กรรมาธิการด้านรายได้และกรรมาธิการด้านทรัพยากรธรรมชาติรัฐอะแลสกา ประธานบริษัท Alaska Gasline Development Corporation และผู้แทนบริษัท Glenfarne ซึ่งเป็นภาคส่วนที่สำคัญทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการลงทุนเพื่อผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวจากรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา”

“...โดยความร่วมมือในโครงการดังกล่าวยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือในการลงทุนและผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของไทยและผลักดันบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้า LNG ในภูมิภาคเอเชียในอนาคตอีกด้วย” (ข่าวแจก กระทรวงพลังงาน)

ผู้เขียนอ่านข่าวเจ้าสัวพลังงานพบประธานาธิบดีทรัมป์ และข่าวกระทรวงพลังงานพบตัวแทนรัฐและเอกชนในมลรัฐอะแลสกา แล้วก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจว่า สุดท้ายไทยอาจติดหล่ม “เสพติดก๊าซเหลวราคาแพง” หนักกว่าเดิม ภายใต้ข้ออ้างว่าเราต้อง “ยอม” อเมริกาเพื่อผ่อนหนักเป็นเบาในสงครามภาษีทรัมป์

ทั้งที่ในความเป็นจริง ไทยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากอเมริกาอีกหลายล้านตันต่อปี การนำเข้าเพิ่มสุ่มเสี่ยงจะซ้ำเติมความไม่เป็นธรรมของค่าไฟ (ซึ่งปัจจุบันก็ซ่อนความไม่เป็นธรรมไว้หลายเรื่องอยู่แล้ว) ส่งผลให้ค่าไฟแพงและผันผวนเกินเหตุไปอีกนาน อีกทั้งยังชะลอการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่จำเป็น ยังไม่นับว่าแหล่ง LNG ในมลรัฐอะแลสกายังแพงมหาศาล ไม่คุ้มค่าการลงทุน และมีประเด็นอื้อฉาวมากมายมานานว่าด้วยผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

แพงและผันผวนได้แค่ไหน ผู้ใช้ไฟทั้งประเทศก็ได้ลิ้มรสชาติไปแล้วเมื่อค่าไฟถีบตัวสูงขึ้นมหาศาลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากผลของสงครามยูเครน ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟจำนวนมากตั้งคำถามเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า ค่าไฟมาจากไหน? ก่อนจะพบกับคำตอบว่า วันนี้ไทยใช้ LNG นำเข้าราว 30% ของก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่ใช้ และการผลิตไฟฟ้าวันนี้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงกว่า 58%

อันที่จริง ประเด็นการนำเข้า LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าในไทยมีพัฒนาการ(?)ค่อนข้างพิสดาร จากการผูกขาดโดย ปตท. เจ้าเดียว มาเป็นการเปิดเสรีแบบไม่เสรีเท่าที่ควร ผู้เขียนจึงชวนลำดับความเป็นมาสักเล็กน้อย

ย้อนไปเมื่อปี 2547 หรือกว่า 20 ปีที่แล้ว คณะกรรมการ ปตท. อนุมัติให้จัดตั้ง บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างสถานีรับ-จ่าย LNG ปีต่อมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ ปตท. จัดทำแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อ “เตรียมความพร้อมและความชัดเจนในการรองรับแผนทางเลือกการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับประเทศ และเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว” ซึ่ง ปตท. ก็ได้ไปดำเนินการและเริ่มก่อสร้างสถานี LNG แห่งที่ 1 ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ในปี 2549

หมุนนาฬิกามาอีก 6 ปี ในปี 2555 ครม. มีมติเห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานี LNG ระยะที่ 2 ซึ่งสถานีนี้ก็สร้างในระยองเช่นกัน โครงการนี้เริ่มปี 2558 ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี พ.ศ. 2565

ระหว่างนั้นก็มีก้าวที่น่าสนใจจากบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (กัลฟ์) เริ่มจากในปี พ.ศ. 2562 บริษัทเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด บริษัทลูกที่ ปตท. ถือหุ้น 100% โดยก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ กัลฟ์ เอ็มทีพี เทอร์มินัล จำกัด (GMTP) โดยกัลฟ์ถือหุ้นส่วนใหญ่คือ 70% ส่วน พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ถือข้างน้อยคือ 30%

บริษัทใหม่คือ GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 โดยเนื้อหาหลักของโครงการนี้ คือ การก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานี LNG แห่งที่ 3 ในมาบตาพุด โดยปัจจุบันบริษัทมีแผนที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานี LNG แห่งที่ 3 กลางปี 2568

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2563 กัลฟ์ยังได้เข้าซื้อหุ้น 40% ในบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด (PTT NGD) โดยซื้อจาก International Power S.A. บริษัทในเครือ Engie ยักษ์พลังงานจากฝรั่งเศส

กรณีนี้ แหล่งข่าวจาก ปตท. อธิบายในปี พ.ศ. 2564 ว่าจะ “ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ PTT NGD เนื่องจากมีเงื่อนไขสัญญาเดิมระบุว่าผู้ถือหุ้นไม่ทำธุรกิจแข่งขันกับ PTT NGD ในพื้นที่ที่บริษัททำธุรกิจอยู่ ทำให้กัลฟ์ ไม่สามารถทำตลาดขายก๊าซฯ ใน 13 นิคมอุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ ปริมณฑล และระยองที่ PTT NGD ได้ทำตลาดอยู่”

อย่างไรก็ดี คนทั่วไปก็ย่อมสงสัยได้ว่า เหตุใด ปตท. อดีตผู้ผูกขาดการนำเข้าและจำหน่าย LNG แต่เพียงผู้เดียว ถึงได้ “ใจป้ำ” และ “ใจดี” กับบริษัทคู่แข่ง ถึงขนาดยอมให้มาถือหุ้น 40% ในกิจการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของตัวเอง และยอมเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างน้อย 30% ในบริษัทที่จะก่อสร้างสถานี LNG แห่งที่ 3 ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าของสถานี LNG แห่งที่ 1 และ 2 อยู่

สถานี LNG แห่งที่ 3 นี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการเต็มที่ จะรองรับ LNG ได้ถึง 10.8 ล้านตัน ซึ่งเมื่อรวมกับความจุเดิมของสถานี LNG แห่งที่ 1 และ 2 จะทำให้ทั้ง 3 สถานี รองรับ LNG ได้มากถึง 29.8 ล้านตันต่อปี (!)

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พยายามชี้ให้สังคมเห็นมาข้ามปีแล้วว่า แผนการก่อสร้างสถานี LNG แห่งที่ 3 มูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาทนี้ สุดท้ายจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของค่าไฟโดยไม่จำเป็น เพราะลำพังสถานี LNG 2 แห่งแรก (ของ ปตท.) ก็เพียงพอที่จะรองรับความต้องการก๊าซธรรมชาติของทั้งประเทศได้อยู่แล้วตลอดแผน Gas Plan (สิ้นสุดปี 2037)

ส่วน ดร. คุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย ก็เสนอในงานเสวนา “PDP 2025(24): ‘ความเงียบ’ ของราคาค่าไฟแพง กับการลงทุนที่ประชาชน ‘ไม่มีเสียง’” วันที่ 28 เมษายน 2568 ว่า ถ้าไทยนำเข้า LNG เต็มที่ทั้ง 3 สถานี 29.8 ล้านตันต่อปี จะคิดเป็นปริมาณก๊าซมากถึง 93% ของความต้องการก๊าซธรรมชาติทั้งหมดทุกภาคส่วนในปัจจุบัน ทั้งการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ฯลฯ (!)

ในงานเดียวกัน ดร. คุรุจิต ชี้ชัดว่ายิ่งนำเข้า LNG มากขึ้น ยิ่งกระทบต่อค่าไฟของประชาชน โดยคำนวณให้ดูว่า ปี 2565 (ปีที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน) เพียงปีเดียว ต้นทุนค่าไฟฟ้าทั้งประเทศแพงขึ้นเกือบ 6 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาก๊าซในอ่าวไทย (ผู้บริโภคปลายทางได้รับผลกระทบเพียงบางส่วน เพราะรัฐบาลตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ เรื่อยมาถึงเศรษฐา และแพทองธาร ล้วนดำเนินนโยบาย “อุ้มค่าไฟ” สั่งให้ กฟผ. และ ปตท. แบกรับต้นทุนแทน ส่งผลให้ปัจจุบันรัฐบาลยังเป็นหนี้ กฟผ. กว่า 7 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้ ปตท. อีกกว่าหมื่นล้านบาท)

พูดสั้นๆ ก็คือ แผนการก่อสร้างสถานี LNG แห่งที่ 3 มีข้อกังขาตั้งแต่แรกคิดโครงการ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า ไทยประกาศจะค่อยๆ ลดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (รวม LNG) ลง ตาม Gas Plan และร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุด (PDP2024) เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยโลกรวน ซึ่ง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ) เป็นหลัก ไปสู่พลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก เป็นหัวใจที่ขาดไม่ได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผ่านมาถึงยุคสงครามภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งแน่นอนว่าอเมริกาอยากกดดัน(หรือขู่กรรโชก)ให้ประเทศต่างๆ นำเข้า LNG จากอเมริกามากขึ้น รวมถึงเรียกร้องให้ไปร่วมลงทุนในแหล่ง LNG อเมริกัน โดยเฉพาะอะแลสกา ผู้เขียนเห็นว่าประชาชนทุกคนในฐานะผู้ใช้ไฟ ควรต้องตั้งคำถามและข้อสังเกตดังๆ ถึงรัฐบาลไทย รวมถึงบริษัทเอกชนไทยที่กำลังเจรจาเรื่อง LNG อย่างน้อย 5 ข้อดังต่อไปนี้

1. ในเมื่อข้อมูลตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ให้เห็นคือ สถานี LNG แห่งที่ 3 เมื่อสร้างเสร็จแล้วสุ่มเสี่ยงที่จะใช้งานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากความจุทั้ง 3 สถานีสูงเกินความต้องการใช้ LNG ทั้งประเทศอย่างมาก ดังนั้นรัฐบาล (หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนก็ตาม) จะประกาศนำเข้า LNG เพิ่มอีกหลายล้านตันจากอเมริกาด้วยเหตุใด ถ้ามองว่านำเข้า LNG มาเพื่อ “ขายต่อ” บางส่วนไปให้กับประเทศอื่น (พูดอีกอย่างคือ ไทยทำตัวเป็น “ฮับ LNG” ในภูมิภาค) รัฐบาลได้สำรวจความต้องการและความสามารถในการแข่งขันของไทยในแง่นี้ไว้แล้วหรือไม่ เหตุใดประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนถึงจะอยากซื้อ LNG จากไทย แทนที่จะซื้อตรงจากแหล่งผลิต

2. การนำเข้า LNG ในการผลิตไฟฟ้าทุกวันนี้ แม้จะเปิดให้มีผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้า (shipper) 8 ราย ทั้งรัฐวิสาหกิจและเอกชน แต่กระบวนการยังไม่เปิดเผยโปร่งใสเท่าที่ควร และไม่มีการแข่งขันด้านราคา ผู้กำกับดูแลคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพียงแต่กำหนด “เพดานราคา” เท่านั้น เท่ากับว่าผู้นำเข้าแต่ละรายสามารถนำเข้า LNG ในราคาเท่าไรก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่เกินเพดานที่กำหนด การไปตกลงนำเข้า LNG โดยเจาะจงว่าจากอะแลสกานั้นสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมมากกว่าเดิม เหตุใดรัฐบาลไทย และ กกพ. จึงไม่เปิดให้มีการแข่งขันด้านราคาระหว่างผู้นำเข้า LNG ก่อนไปเจรจากับอเมริกา อีกทั้งควรอธิบายที่มาที่ไปของโควตาการนำเข้าที่อนุญาตผู้นำเข้าแต่ละราย อย่างโปร่งใสเปิดเผยด้วย

3. การให้รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนไทยไป “ร่วมลงทุน” ในแหล่งผลิต LNG ใดๆ สุดท้ายค่าพัฒนาและก่อสร้างโครงการก็จะถูก “ส่งต่อ” มาในค่าไฟของประชาชน (ไม่ต่างจากค่าก่อสร้างสถานี LNG) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแหล่ง LNG ในอลาสกาที่ปลัดกระทรวงพลังงาน กฟผ. ปตท. และ EGCO ไปเยือน คือ นี่เป็นแหล่งที่มีปัญหามากมายตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันมูลค่าการก่อสร้างพุ่งทะลุไปแล้วกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาก็แพงมากเพราะต้องสร้างท่อที่ทนทานต่อชั้นดินเยือกแข็ง (permafrost) ในมลรัฐหนาวเหน็บอย่างอลาสกา จนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ซื้อรายใดตกลงทำสัญญาซื้อขายระยะยาวจากแหล่งดังกล่าว (โดยปกติ โครงการส่งออก LNG จะต้องทำสัญญาซื้อขายระยะยาวที่ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 80% ของกำลังการผลิต จึงจะสามารถระดมทุนก่อสร้างจากเจ้าหนี้และนักลงทุนได้)

4. การพัฒนาโครงการ LNG ในอลาสกา ยังมีความเสี่ยงสูงในแง่ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงภาวะโลกรวน EarthJustice ประเมินว่าทั้งโครงการจะส่งออก LNG ราว 20 ล้านตันต่อปี เท่ากับการปล่อยก๊าซ CO2 กว่า 50 ล้านตันต่อปี – แน่นอนว่าตัวเลขมหาศาลขนาดนี้ไม่เพียงส่งผลต่อโลกรวน แต่จะทำให้พันธกรณีของอเมริกาต่อการรับมือกับโลกรวนอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม (แม้ทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องนี้ ประธานาธิบดีคนต่อไปย่อมถูกประชาคมโลกกดดันให้แสดงบทบาท) เหตุใดประเทศไทยจึงจะอยากไปรับความเสี่ยงช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ด้วยในฐานะนักลงทุน

5. การนำเข้า LNG มากขึ้นอีกหลายล้านตันอย่างเจาะจง หรือร่วมพัฒนาแหล่ง LNG อลาสกา นอกจากจะซ้ำเติมความ “ไม่แฟร์” ของค่าไฟที่คนไทยต้องจ่าย ด้วยเหตุผลทั้งหลายข้างต้นแล้ว ยังจะตอกตรึงให้เราติดกับดัก “เสพติดก๊าซนำเข้า” กันต่อไป เหนี่ยวรั้ง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ที่จำเป็นต้องเกิดในยุคโลกรวน ทั้งที่พลังงานหมุนเวียนหลายชนิดไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง เรามีศักยภาพมากพอในไทย ราคาก็ลดลงอย่างต่อเนื่องตามเทคโนโลยีสู้โลกรวน จนแข่งขันได้แล้วกับแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกชนิด

ยกตัวอย่างเช่น รายงาน “Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid” โดยทีม BloombergNEF (เผยแพร่ พฤษภาคม 2568) ชี้ชัดว่า วันนี้โครงการแสงอาทิตย์บวกแบตเตอรี่ในไทย มีราคาถูกกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพา LNG ราคาแพง จากแหล่งผลิตไกลโพ้นอย่างอลาสกาแต่อย่างใด

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

สฤณี อาชวานันทกุล

สฤณี อาชวานันทกุล
นักเขียน นักแปล และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน มีความสุขกับการทำงานในประเด็น ธุรกิจที่ยั่งยืน พลังพลเมือง และเกม