อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเผชิญแรงกดดันหนัก ยอดผลิตปี 2567 ลดลง 26% จากภาวะเศรษฐกิจและสินเชื่อเข้มงวด ด้าน MGC เร่งขยาย 4 ธุรกิจหลัก ดันรายได้ปี 2568 โต 10% โดยยังเน้นตลาดพรีเมียมและยานยนต์ไฟฟ้า
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ท่ามกลางปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและการอนุมัติสินเชื่อที่ยากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา
สถิติจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา ยอดผลิตรถยนต์ลดลงกว่า 26% ขณะที่รถยนต์มียอดขาย 572,675 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกัน 26.18% สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง
แม้ภาพรวมตลาดจะหดตัว แต่บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่ายังคงสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดี โดยมียอดขายลดลงเพียง 10% พร้อมกางแผนเร่งขยาย 4 กลุ่มธุรกิจ เน้นขยายตลาดพรีเมียมและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดสัดส่วนยอดขายอีวีแตะ 30%
สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC ยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมามีความท้าทาย และมีการชะลอตัว โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะที่บริษัทรับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ ซึ่งมีการเตรียมตัวมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อน ที่มีการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ 9,000 คัน
นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น
และในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้า เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโต
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการสําหรับปี 2567 อยู่ที่ 20,192.5 ล้านบาท ลดลง 4,840.8 ล้านบาท หรือ 19.3% จากปี 2566 ที่ 25,033.3 ล้านบาท
โดยหลักมาจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มธุรกิจจําหน่ายยานยนต์ จากยอดจําหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ BMW และ Honda ลดลง จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า สถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ จากการที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเข้ามา ทําให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น จึงเกิดการแข่งขันทางด้านราคาค่อนข้างสูง
ส่วนกําไรสุทธิอยู่ที่ 145.70 ล้านบาท ลดลง 122.6 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 268.2 ล้านบาท หรือลดลง 45.7% จากการลดลงของรายได้จากกลุ่มธุรกิจจําหน่ายยานยนต์ตามที่กล่าวไปข้างต้น
ในปี 2568 MGC ตั้งเป้าขยายการเติบโตของรายได้ 10% จาก 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ การค้าปลีกยานยนต์ ที่ยังคงเน้นตลาดรถพรีเมียม และยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง
โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 25-30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด จากสิ้นปี 2567 อยู่ราว 10% จากการส่งมอบรถไฟฟ้าแบรนด์ ZEEKR และ XPENG ที่มากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีแผนพัฒนาแพลตฟอร์ม MGC-MOBILIFE ระบบ Loyalty Program อัจฉริยะที่ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าด้วย
ด้านธุรกิจบริการหลังการขาย เตรียมขยายศูนย์ MMS Car Service & Tire เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น
ส่วนธุรกิจรถเช่าและบริการพนักงานขับ บริษัทฯ วางแผนให้บริการครอบคลุมทุกมิติ โดยเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการโซลูชันการเดินทางที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ธุรกิจบริการทางการเงินภายใต้ "อัลฟา เอกซ์" จะมุ่งเน้นการให้สินเชื่อ Wealth Lending ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับสูงและมีความเสี่ยงต่ำ พร้อมใช้ AI ปรับปรุงกระบวนการบริหารความเสี่ยง และนำเสนอทางออกชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ส่วนธุรกิจบริการประกันภัยผ่าน "ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์" ที่ผ่านมามีการเติบโตผ่านการขยายพอร์ตไปยังลูกค้ารายใหม่มากขึ้น
แผนกลยุทธ์นี้ สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 3 ปี (2568-2570) ของ MGC ที่มุ่งใช้ AI-Powered Solutions ขับเคลื่อนองค์กร สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และยกระดับมาตรฐาน ESG เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโมเดลธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในอนาคต
นอกจากนี้ MGC มองเห็นโอกาสจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการพัฒนา Entertainment Complex ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อธุรกิจเรือสำราญและเรือยอร์ชของบริษัท ที่ดำเนินมานานกว่า 8 ปีและมีความพร้อมขยายตัว หากแผนดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภา MGC เชื่อว่าการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมจะเติบโตขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทในการสร้างโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มบน
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ EEC (Eastern Economic Corridor) โดยหารือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายโอกาสใหม่ ๆ ไม่ให้ตกเทรนด์ พร้อมเดินหน้าขยายบริการในกลุ่มโมบิลิตี้ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้