หุ้น OR กลายเป็นที่จับตามอง หลังกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 โตแรง 17.6% จากกำไรต่อลิตรที่ดีขึ้น และยอดขาย Cafe Amazon ที่พุ่งสูง อนาคตของ OR จะยังคงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนหรือไม่ ท่ามกลางมุมมองนักวิเคราะห์ที่หลากหลายต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น และศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
ในช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/68 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มทยอยเปิดเผยตัวเลขออกมาอย่างคึกคัก ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจและจับตามอง คือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR ที่เพิ่งประกาศงบการเงินล่าสุด ซึ่งสะท้อนภาพการเติบโตที่น่าสนใจ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ OR เติบโตสูงถึง 17.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับตัวดีขึ้นของกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร รวมถึงกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่มีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดีขึ้น และยอดขายของ Cafe Amazon ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขที่เติบโตนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า ทิศทางของ OR หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ยังคงเป็น "โอกาส" ในการลงทุนที่น่าสนใจอยู่หรือไม่ ในขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าผลงานไตรมาส 2/68 อาจมีการชะลอตัว แต่ก็อาจเป็นจังหวะในการ "ซื้อ" เพื่อรับการฟื้นตัวในระยะยาว
โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 657 ล้านบาท หรือเติบโต 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทมี EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 311 ล้านบาท หรือเติบโต 5.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจาก
สำหรับค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง โดยหลักจากค่าจ้างบุคคลภายนอก สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain from investments) ภาพรวมเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นอาจมีแรงกดดันจากแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 ที่ชะลอจากไตรมาสก่อน จากรับรู้ Stock loss และส่วนลดน้ำมันจะเป็นโอกาส “ซื้อ” รับการฟื้นตัวของธุรกิจ Mobility ในช่วงปี 2568-2569 ตามกำไรขั้นต้นต่อลิตรที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คาดการแทรกแซงราคาของรัฐลดลง หนุนกำไรปกติโตต่อเนื่องเฉลี่ย 23% ต่อปี ในขณะที่ PER ราว 13-14 เท่า
โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 17 บาท คงมุมมองธุรกิจ Mobility อยู่ในขาฟื้นตัวตามกำไรขั้นต้นต่อลิตร ที่ราคาน้ำมันดิบ normalized ส่งให้กองทุนน้ำมันทยอยกลับเป็นบวกภายในไตรมาส 1/69 ส่งให้ภาครัฐแทรกแซงราคาน้อยลงลดแรงกดดันต่อค่าการตลาดน้ำมัน ส่งให้กำไรปี 2568-2569 โตต่อเนื่องเฉลี่ย 23% ต่อปี เทียบกับ P/E ราว 13-15 เท่า
นอกจากนี้ มองการเก็บภาษีสรรสามิตเพิ่มขึ้นของรัฐราว 0.9 บาท/ลิตร (ดีเซล) ในสภาวะที่ราคาน้ำมันดิบลดลง ไม่ได้กระทบต่อค่าการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และไม่ได้ทำให้กองทุนฯ เป็นบวกช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยหลังเพิ่มภาษีสรรพสามิต การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ส่วนของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ราว 3บาท/ลิตร ยังเป็นอัตราเร่งกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/68 ที่ราว 1.24บาท/ลิตร (ทุกๆ การลดเก็บ 1บาท รับน้ำมันดิบขึ้นได้ราว 4.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)
ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า กำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้น หนุนหลักจากธุรกิจ Mobility ที่กำไรต่อลิตรเพิ่มขึ้น และธุรกิจ Lifestyle มีผลประกอบการดีขึ้น หลังขายโครงการที่ไม่เป็นไปตามเป้าออกไป รวมถึงปริมาณขาย Cafe Amazon เติบโตตามการจัดนโยบายส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ธุรกิจ Global มีปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
ส่งผลให้กำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/68 คิดเป็น 44.0% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2568 ที่ประเมินไว้ เบื้องต้นยังคงประมาณการ โดยคาดกำไรสุทธิปี 2568 ฟื้นตัว 30.0% จากปีก่อน มาอยู่ราว 9.9 พันล้านบาท จากทั้งปริมาณขายน้ำมัน และอัตรากำไรขั้นต้น/ลิตร ที่คาดจะฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ช่วงสั้นในไตรมาส 2/68 คาดกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาสก่อน กดดันจากปริมาณขายน้ำมันที่คาดอ่อนตัวตามฤดูกาล และกำไรขั้นต้น/ลิตรที่คาดลดลง จากโอกาสเกิดขาดทุนสต็อกที่สูงขึ้น และการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ถึงแม้คาดยอดขาย Cafe Amazon ในกลุ่ม Lifestyle ยังเติบโตต่อเนื่องตามการเข้าสู่ฤดูร้อน แต่ชดเชยไม่หมด
ดังนั้น จึงคงมูลค่าพื้นฐานปี 2568 ที่ 15 บาท/หุ้น ระยะสั้นคงน้ำหนักการลงทุน “Neutral” จากผลประกอบการในงวดไตรมาส 1/68 ที่สดใส ประกอบกับภาพรายปีที่เห็นกำไรฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้