GULF ยักษ์ใหญ่พลังงาน ตัดขายหุ้น KBANK เหลือถือ 4.63% โบรกฯ ชี้ ปรับพอร์ตเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดสินเชื่อตามเกณฑ์ ธปท. ช่วยให้ GULF ไม่เข้าข่ายผู้เกี่ยวข้อง เปิดทางแบงก์หนุนแผนธุรกิจได้มากขึ้น
KBANK กำลังเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลัง GULF ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน ได้ตัดขายหุ้น KBANK ออกจำนวน 9.15 ล้านหุ้น คงเหลือการถือครองหุ้นอยู่ที่ 109.60 ล้านหุ้น หรือ 4.63% ซึ่งการปรับพอร์ตของ GULF ในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณที่น่าสนใจต่อตลาดทุน โดยเฉพาะเมื่อเป็นการถือหุ้นที่ระดับต่ำกว่า 5%
ด้านนักวิเคราะห์ฯ มองว่ากรณีที่ GULF ขายหุ้น KBANK ออกนั้น เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดสินเชื่อตามเกณฑ์ ธปท. เนื่องจากการถือหุ้นต่ำกว่า 5% จะทำให้ GULF ไม่เข้าข่ายกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องตามเกณฑ์ของ ธปท. จึงเปิดทางให้ KBANK สามารถพิจารณาสินเชื่อแก่ GULF ได้ในวงเงินที่สูงขึ้นเพื่อรองรับแผนธุรกิจในอนาคต
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่แบบรายงานการได้มาหรือจําหน่ายหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) พบรายงานการขายหุ้นของ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) หรือหุ้น KBANK โดย บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568
โดยจํานวนหุ้นทีขายอยู่ที่ 9,145,900 หุ้น คิดเป็น 0.386% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จํานวนหุ้นภายหลังการขายอยู่ที่ 109,607,100 หุ้น คิดเป็น 4.626% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นล่าสุดของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK พบรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก ณ วันที่ 16 พ.ค. 2568 ดังนี้
ดังนั้น หาก GULF ขายหุ้น KBANK ออกเหลือถือ 4.626% จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KBANK โดย GULF ซึ่งเดิมเคยอยู่ในอันดับที่ 3 จะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่อันดับ 4 ในขณะที่ SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED จะขยับขึ้นไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 แทน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่าการที่ GULF ปรับพอร์ตโดยขายหุ้น KBANK บางส่วนออกไปนั้น เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยหาก GULF ถือหุ้นใน KBANK เกินกว่า 5% จะถูกจัดว่าเป็นกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ทำให้ KBANK สามารถปล่อยสินเชื่อให้ GULF ได้ในวงเงินที่จำกัดเพียง 5% ของเงินกองทุนของธนาคาร
ดังนั้น การลดสัดส่วนการถือครองหุ้น KBANK ให้ต่ำกว่า 5% จะช่วยให้ GULF ไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าว เปิดทางให้ KBANK สามารถพิจารณาให้สินเชื่อแก่ GULF ได้ในวงเงินที่สูงขึ้น เพื่อรองรับแผนการระดมทุนและการขยายธุรกิจของ GULF ในอนาคตได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า เรามองว่าการที่ GULF ขายหุ้น KBANK นั้น คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องข้อจำกัดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน หาก GULF ถือหุ้น KBANK เกิน 5% จะทำให้ GULF ถือว่าเป็นกิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีระบุว่า
“ห้ามสถาบันการเงินให้สินเชื่อ ลงทุน ก่อภาระผูกพัน หรือทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อ ให้แก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือแก่กิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเมื่อสิ้นวันหนึ่งๆ ในแต่ละรายเกิน 5% ของเงินกองทุนทั้งสิ้นของสถาบันการเงิน โดยให้นับสินเชื่อฯ แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วย”
โดยจากการเช็คของเรา ปัจจุบัน KBANK มีเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ระดับ 5.1 แสนล้านบาท ดังนั้นจะปล่อยกู้ GULF ได้เพียง 25,500 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นเราเชื่อว่าการขายหุ้น KBANK ออกมาให้ถือไม่เกิน 5% จะปลดล็อคข้อจำกัดการให้สินเชื่อ
ทั้งนี้ GULF จะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 พ.ค. นี้ ซึ่งมีวาระสำคัญคือเสนอแผนระดมทุนโดยการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินต้นรวมไม่เกิน 300,000 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมถึงจำนวนเงินต้นของหุ้นกู้ที่ออกโดย GULF Energy ที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนรวม 185,499 ล้านบาทด้วย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนในอนาคต
ด้าน KBANK แบงก์ใหญ่อันดับสองของไทย ด้วยมาร์เก็ตแคป 3.8 แสนล้านบาท ยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ พร้อมตั้งเป้าหมายผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 10% ภายในปี 2569 และการที่ธนาคารได้ดำเนินการจัดการงบดุลในช่วงก่อนหน้า ก็ช่วยลดแรงกดดันด้านการตั้งสำรองได้บ้าง
ในมุมมองของการลงทุน จุดเด่นสำคัญที่นักวิเคราะห์หลายสำนัก ยังคงให้ความสนใจคือนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงมีความเป็นไปได้ในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น เช่น การซื้อหุ้นคืนหรือการจ่ายเงินปันผลพิเศษด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่าเป้าหมายทางการเงินปี 2568 ของ KBANK เผชิญความท้าทายมากขึ้น หลังมีการปรับลดคาดการณ์ GDP และคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีก ซึ่งอาจส่งผลให้ NIM ลดลงและ Credit Cost เพิ่มขึ้น จึงได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568-2569 ลงเล็กน้อย และคาดว่าสินเชื่อจะหดตัว 3% จากการเน้นคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารยังคงเป้าหมาย ROE ที่ 10% ภายในปี 2569 และมีโอกาสซื้อหุ้นคืน หรือจ่ายปันผลพิเศษด้วย
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยังคงแนะนำ “ซื้อ” KBANK โดยให้เหตุผลว่า แม้จะมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่การที่ธนาคารได้ clean up งบดุลไปก่อนหน้านี้ ช่วยลดผลกระทบ ทำให้กำไรไตรมาส 1/2568 ออกมาดี นอกจากนี้ การที่ KBANK มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ยังทำให้สามารถคาดหวังเงินปันผลในระดับสูงได้อย่างสม่ำเสมอ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้