จับตาคดีการเมืองชี้ชะตาหุ้นไทย แม้ระยะสั้นผันผวน แต่สถิติชี้หลังมีความชัดเจน SET มักดีดขึ้นแรงเฉลี่ย 10% ใน 2 เดือน เตรียมหาจังหวะลงทุน
ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ จากคำตัดสินในคดีการเมืองของอดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" และนายกฯ ปัจจุบัน "แพทองธาร ชินวัตร" ที่หลายคนมองว่าจะสร้างความผันผวนได้
แต่นักวิเคราะห์ฯ ชี้สถิติในอดีตว่า หลังความไม่แน่นอนทางการเมืองคลี่คลายลง ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) มักดีดตัวขึ้นแรงเฉลี่ยถึง 10.3% ภายใน 2 เดือน กลายเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อวางกลยุทธ์รับมือ
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยนักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักว่าผลการตัดสินจะออกมาในรูปแบบใด แต่ให้ความสำคัญกับ "ความชัดเจน" ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกคืนความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เม็ดเงินลงทุนที่ชะลอไว้ก่อนหน้าไหลกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง นักลงทุนจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเหวี่ยงของตลาดในระยะสั้น เพื่อมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะถัดไป
เอาง่ายๆ เลย การเมืองเป็นคนกำหนดทิศทางของประเทศ ส่วนเศรษฐกิจคือผลลัพธ์ของการกระทำนั้น นโยบายของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี, โครงการใหญ่ๆ, กฎระเบียบต่างๆ ล้วนส่งผลโดยตรงกับบริษัทในตลาดหุ้นทั้งนั้น
แล้วทำไมตอนนี้นักลงทุนถึงต้องเกาะติดสถานการณ์การเมืองเป็นพิเศษ ก็เพราะคำตัดสินของศาลที่กำลังจะออกมา มันอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ได้เลย
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบ ประเด็นสำคัญที่ตลาดมองหาคือ "ความชัดเจน" เพราะสิ่งที่นักลงทุนเกลียดที่สุดคือความไม่แน่นอน พอการเมืองนิ่ง มีทิศทางที่ชัดเจน นักลงทุนก็จะกล้ากลับมาลงทุน ความเชื่อมั่นก็จะฟื้นกลับมานั่นเอง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) มองว่า ช่วงก่อนและหลังวันตัดสินคดี (22 ส.ค. และ 29 ส.ค.) ตลาดหุ้นน่าจะ "ผันผวน" เป็นพิเศษ นักลงทุนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะ "ชะลอการลงทุน" เพื่อรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว กลยุทธ์ของเราคือต้อง "เตรียมพร้อม" การจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด ในวันตัดสินคดี ตลาดอาจเหวี่ยงแรง ให้เตรียมแผนไว้เลยว่าจะ "ซื้อ" หรือ "ขาย" ตามการตอบรับของตลาด
ทั้งนี้ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้แนวรับไว้คือดัชนีบริเวณ 1,240, 1,227, และ 1,220 จุด หากดัชนียังยืนเหนือระดับเหล่านี้ได้ ก็ยังถือว่ามีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้าหลุดลงไปอาจต้องระมัดระวังมากขึ้น
ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จํากัด มองว่าพอคำตัดสินออกมาแล้ว ไม่ว่าจะรูปแบบไหน มันจะทำให้ "ฉากการเมืองไทยชัดเจนขึ้น" ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา พอความคลุมเครือทางการเมืองหายไป ตลาดหุ้นก็มักจะตอบรับในเชิงบวก
ตรงนี้แหละคือไฮไลท์ เพราะ บล.เอเซีย พลัส เขาไปทำการบ้านมาให้แล้ว และพบสถิติที่น่าสนใจมากว่า
"หลังศาลตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้นำ (ทั้งกรณีคุณพิธาและคุณเศรษฐาที่ผ่านมา) ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET index มักจะปรับตัวขึ้นแรง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.3% ภายใน 2 เดือน!”
ทำไมสถิตินี้ถึงสำคัญ เพราะมันบอกเราว่า ตลาดไม่ได้สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่ตลาดมองความชัดเจนที่เกิดขึ้น เมื่อความไม่แน่นอนหายไป เงินลงทุนที่อั้นไว้ก็จะไหลกลับเข้ามาในตลาด ดันให้ดัชนีพุ่งขึ้นนั่นเอง
โดย บล.เอเซีย พลัส ยังระบุอีกว่า กลุ่มหุ้นที่มักจะวิ่งนำตลาด (Outperform) ในช่วงแบบนี้ คือ
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว สรุปสั้นๆ ก็คือช่วงนี้อาจต้องทนเหวี่ยงกันหน่อย แต่ถ้ามองข้ามช็อตไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้า เมื่อการเมืองชัดเจนขึ้น สถิติในอดีตบอกว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถึงตอนนั้นใครเตรียมตัวไว้ดี ก็อาจจะได้ยิ้มรับผลตอบแทนสวยๆ ก็เป็นได้...
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้