ประเด็นการเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 อย่างเป็นทางการ นักลงทุนต่างจับตาการปัดฝุ่นโครงการ “คนละครึ่ง” หากนโยบายนี้หวนคืนกลับมาจริง หุ้นกลุ่มไหนจะได้รับอานิสงส์และกลายเป็นดาวเด่นในตลาดทุนยุคใหม่นี้ ?
ประเด็นการเมืองเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังจากประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 อย่างเป็นทางการ นั่นคือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางการเมือง แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุน
นักลงทุนต่างจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนออกมาในรูปแบบใด ท่ามกลางกระแสข่าวที่หนาหูถึงการกลับมาของนโยบายเรือธงที่ทุกคนคุ้นเคยอย่าง “คนละครึ่ง”
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การปัดฝุ่นโครงการ “คนละครึ่ง” ขึ้นมาอีกครั้ง ถูกมองว่าอาจเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่ากว่า” นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เคยเป็นประเด็นถกเถียงในวงกว้าง
ด้วยจุดเด่นด้านการใช้งบประมาณที่น้อยกว่า แต่สามารถกระจายเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกลไกที่ประชาชนและร้านค้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ หากนโยบายนี้หวนคืนกลับมาจริง หุ้นกลุ่มไหนจะได้รับอานิสงส์และกลายเป็นดาวเด่นในตลาดทุนยุคใหม่นี้ ?
บรรดานักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ต่างออกมาให้มุมมองที่น่าสนใจ สะท้อนความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อทิศทางตลาดทุนไทยหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ โดยมองว่าความชัดเจนทางการเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศให้ไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง
บทวิเคราะห์จาก บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า เราผ่านการเลือกนายกฯ มาแล้ว ตลาดจะเริ่มให้ความสนใจการการบริหารประเทศ มาตรการเศรษฐกิจ และการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมองว่าน่าจะออกมาเป็นบวกต่อตลาดหุ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ บล.ดาโอ แนะนำ ทยอยกลับเข้าซื้อหุ้น รายชื่อหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้แรงหนุนจากการกลับเข้ามาซื้อหุ้นของนักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างประเทศ
เมื่อเจาะลึกไปที่กระทรวงสำคัญซึ่งมีผลโดยตรงต่อตลาดทุน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า กระทรวงการคลัง จะมีบทบาทสูงในการออกมาตรการเศรษฐกิจ คาดจะเน้นมาตรการระยะสั้น อาทิ “คนละครึ่ง” หรือลดหย่อนภาษี หุ้นได้ประโยชน์จะเป็นหุ้นห้างฯ และ ค้าปลีก ได้แก่ CRC, GLOBAL, HMPRO, COM7, MTC, KTB เป็นต้น
ขณะที่ ฝ่ายวิจัยฯ บล.เอเซีย พลัส ชี้ให้เห็นถึงข้อดีของการนำนโยบายคนละครึ่งกลับมาใช้ ซึ่งสรุปได้ 3 ประการสำคัญ ดังนี้
จากแนวโน้มดังกล่าว บล.เอเซีย พลัส ได้ให้ภาพรวมว่า หากอ้างอิงสถิติในอดีตที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งได้วางกลยุทธ์การลงทุนหุ้น รับกระแสโครงการคนละครึ่ง ได้แก่
การกลับมาของ “คนละครึ่ง” จึงไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสการลงทุนครั้งใหม่ที่น่าจับตา ซึ่งนักลงทุนที่สนใจสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณา เพื่อคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้