เงินบาทแข็งสุดรอบ 4 ปี ส่องหุ้น "ได้-เสีย" ประโยชน์ บจ. นำเข้า-หนี้ดอลลาร์ฯ สูง เตรียมยิ้ม

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินบาทแข็งสุดรอบ 4 ปี ส่องหุ้น "ได้-เสีย" ประโยชน์ บจ. นำเข้า-หนี้ดอลลาร์ฯ สูง เตรียมยิ้ม

Date Time: 9 ก.ย. 2568 10:56 น.

Video

ทำไมกองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้มละลาย ? | Thairath Money Night Stand EP.8

Summary

ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี ท่ามกลางความคาดหวังเฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน Thairath Money พาเปิดลิสต์หุ้นกลุ่มไหน "ได้-เสีย" ประโยชน์

Latest


ทิศทางค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแข็งที่สุดในรอบ 4 ปี ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจพิจารณาผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในอนาคต 

การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเสมือนดาบสองคมสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) โดยบริษัทที่มีหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์หรือมีต้นทุนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากต้นทุนที่ลดลงและมีโอกาสบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX Gain)

ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ส่งออกที่มีรายได้หลักเป็นสกุลเงินต่างประเทศจะเผชิญกับความท้าทาย เมื่อแปลงรายได้กลับมาเป็นเงินบาทแล้วจะลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรสุทธิ

Thairath Money รวบรวมความเห็นจากนักวิเคราะห์ ที่ได้ออกมาประเมินและคัดเลือกหุ้นเด่นที่คาดว่าจะ "ได้" และ "เสีย" ประโยชน์จากปรากฏการณ์เงินบาทแข็งค่าในครั้งนี้


เจาะลึกรายอุตสาหกรรม ใคร “ได้” ใคร “เสีย”

บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ชี้เป้าหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า ได้แก่

1.กลุ่มสายการบิน นำโดย THAI, AAV และ BA ซึ่งมีโครงสร้างต้นทุนส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่า และค่าซ่อมบำรุงเครื่องบิน สูงกว่ารายได้การขายตั๋วเครื่องบินในต่างประเทศเล็กน้อย

2..กลุ่มโรงไฟฟ้า บริษัทอย่าง GULF, BGRIM และ GPSC ซึ่งมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ จะได้รับประโยชน์จากการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized FX Gain) เข้ามาในงบการเงิน ซึ่งแม้จะเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่กระทบต่อกระแสเงินสดโดยตรง แต่ก็ส่งผลบวกต่อตัวเลขกำไรสุทธิ

3.กลุ่มพลังงาน บริษัทที่มีหนี้สินสกุลเงินดอลลาร์อย่าง TOP และ PTTGC จะได้รับผลบวกจากการบันทึกกำไร FX Gain ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC จะจำกัดกว่า เนื่องจากมีการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินหลักในการดำเนินงาน (Functional Currency)


ในทางตรงกันข้าม บริษัทที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลักจะได้รับผลกระทบเชิงลบ เนื่องจากรายได้ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะมีมูลค่าลดลง

1.กลุ่มอาหารและเกษตร ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ประเมินว่า ทุกๆ 1 บาทที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น จะส่งผลให้กำไรของบริษัทต่างๆ ลดลง ในสัดส่วนดังนี้ SUN (-8%), ITC (-8%), TU (-7%), AAI (-6%) และ SAPPE (-5%)

2.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมส่งออกหลักของประเทศ โดยคาดว่า ทุกการแข็งค่าของเงินบาท 1 บาท จะกระทบกำไรของ KCE ราว -6% และ HANA -5%

3.อุตสาหกรรมอื่นๆ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกบริการอย่าง SAV ซึ่งมีรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่ากำไรจะลดลง 3% ต่อทุก 1 บาทที่แข็งค่า และ PRM ซึ่งมีรายรับ-รายจ่ายเป็นดอลลาร์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คาดว่ากำไรจะลดลงราว 2%-3%

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มผู้นำเข้าสินค้าอย่าง TOA, ADVANC และกลุ่มค้าปลีกสินค้าไอที เช่น COM7, ADVICE จะได้ประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่ถูกลง ซึ่งอาจส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกทางจิตวิทยาต่อหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์ดังที่กล่าวมาข้างต้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาและติดตามทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์


หุ้นเด่นน่าจับตา กลุ่มหนี้ดอลลาร์สูงเตรียมรับกำไร

ทั้งนี้ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดลิสต์หุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด โดยคัดเลือกหุ้นเด่น 3 บริษัทที่มีภาระหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่

1.หุ้น AAV (บมจ. เอเชีย เอวิเอชั่น) มีหนี้สินเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 1 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งประเมินว่า ทุกๆ 1 บาทที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น บริษัทจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลังหักภาษีสูงถึงประมาณ 800 ล้านบาท แม้ว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่เป็นดอลลาร์ฯ จะสูงกว่ารายได้เล็กน้อย แต่ผลบวกจากภาระหนี้ที่ลดลงนั้นมีนัยสำคัญมาก

2.หุ้น BGRIM (บมจ. บี.กริม เพาเวอร์) เป็นอีกหนึ่งบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 250 ล้านดอลลาร์ฯ โดยประมาณการว่า ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะส่งผลให้บริษัทสามารถบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ราว 250 ล้านบาท

3.หุ้น TOP (บมจ. ไทยออยล์) ในกลุ่มพลังงาน TOP มีสัดส่วนหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สูงถึง 67% ของหนี้สินทั้งหมด หรือคิดเป็นหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ที่คงเหลืออยู่ที่ 1,194 ล้านดอลลาร์ฯ ทำให้ประเมินว่า ทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะทำให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1,194 ล้านบาท (ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากการทำประกันความเสี่ยง)


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ