STECON หุ้นพุ่งแรง รับรัฐบาล “อนุทิน” Backlog แสนล้าน โบรกฯ ชี้อนาคตไกล เป้า 10 บาท แค่เอื้อม ?

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

STECON หุ้นพุ่งแรง รับรัฐบาล “อนุทิน” Backlog แสนล้าน โบรกฯ ชี้อนาคตไกล เป้า 10 บาท แค่เอื้อม ?

Date Time: 10 ก.ย. 2568 08:24 น.

Video

ทำไมกองทุนประกันสังคมเสี่ยงล้มละลาย ? | Thairath Money Night Stand EP.8

Summary

หุ้น STECON พุ่งแรง รับอานิสงส์รัฐบาลใหม่ภายใต้นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล นักลงทุนคาดการณ์รับประโยชน์จากเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ ขณะที่พื้นฐานแกร่งด้วย Backlog สูงถึง 1.27 แสนล้านบาท โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำ "ซื้อ" ให้เป้าสูงสุด 10 บาท

Latest


หลายคนต่างจับตาการเคลื่อนไหวของหุ้น บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON อย่างใกล้ชิด หลังราคาหุ้นได้ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงจากระดับ 6.80 บาท สู่ 8.85 บาท (9 ก.ย.68) ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30.14% ในช่วงเวลาไม่นาน นับจากที่ “นายกฯ คนเก่า” หลุดจากตำแหน่ง

การพุ่งขึ้นของราคาครั้งนี้ยังเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 11 เดือน พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุน

จุดเปลี่ยนสำคัญคือความชัดเจนทางการเมือง เมื่ออนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับการลงมติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ซึ่งได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกต่อหุ้น STECON ในทันที จากความเชื่อมโยงระหว่างนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งนี้

อย่างที่รู้กันดีว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิวเผิน แต่เป็นรากฐานสำคัญของบริษัท ซึ่งในอดีต ชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดาของอนุทิน คือผู้ก่อตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง ก่อนมาเป็นอาณาจักรรับเหมายักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ตระกูลชาญวีรกูล ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ผ่านนิติบุคคลและสมาชิกในครอบครัวหลายคน ความเชื่อมโยงนี้ทำให้นักลงทุนมองว่า STECON จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์หลักจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลชุดใหม่


เจาะลึกอาณาจักรรับเหมา โครงสร้างธุรกิจของ STECON

STECON ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding company มีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่น โดยมีบริษัทย่อยหลักคือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศไทย

การปรับโครงสร้างสู่การเป็นโฮลดิ้งนี้ เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งธุรกิจหลักมีความหลากหลายครอบคลุมงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง 5 ประเภทหลัก ได้แก่

  • งานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภค - ถือเป็นความเชี่ยวชาญหลักของบริษัท ครอบคลุมโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ, สนามบิน และทางด่วน    
  • งานก่อสร้างด้านอาคาร - มีผลงานโดดเด่น เช่น โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ (สัปปายะสภาสถาน) ซึ่งเป็นโครงการที่มีความซับซ้อน
  • งานก่อสร้างด้านพลังงาน - รับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานต่างๆ    
  • งานก่อสร้างด้านอุตสาหกรรม - ก่อสร้างโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมให้กับภาคเอกชน    
  • งานก่อสร้างด้านสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ - เช่น ระบบบำบัดน้ำเสียและโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม    

แม้ว่ากระแสความคาดหวังทางการเมืองจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาหุ้น แต่เมื่อดูในเชิงพื้นฐาน โดยเฉพาะปริมาณงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่มหาศาลนั้น อาจเป็นเครื่องยืนยันว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่จับต้องได้

โดย STECON มีงานในมือรอรับรู้รายได้สูงถึง 1.27 แสนล้านบาท (ณ สิ้นไตรมาส 2/68) ตัวเลขนี้เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับบริษัทไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปีข้างหน้า ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้อย่างชัดเจน และลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ ลงได้อย่างมาก

สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด

  • ครึ่งแรกปี 2568 รายได้รวม 15,993.62 ล้านบาท กำไรสุทธิ 853.60 ล้านบาท 
  • ปี 2567 รายได้รวม 30,345.58 ล้านบาท ขาดทุน -2,357.39 ล้านบาท 
  • ปี 2566 (STEC) รายได้รวม 29,841.50 ล้านบาท กำไรสุทธิ 535.62 ล้านบาท 
  • ปี 2565 (STEC) รายได้รวม 30,572.55 ล้านบาท กำไรสุทธิ 866.72 ล้านบาท


โอกาสจากเมกะโปรเจกต์ พิมพ์เขียวรัฐบาลใหม่

STECON ในฐานะผู้รับเหมารายใหญ่ ถือเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่จะได้รับประโยชน์จากแผนการลงทุนต่างๆ จากรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ

ข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ระบุว่ามีนักวิเคราะห์ถึง 13 รายที่ให้คำแนะนำ "ซื้อ" (Buy) และมีเพียง 1 รายที่แนะนำ "ถือ" (Hold) เป็นสัญญาณที่ทรงพลังซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในระดับสูงจากกลุ่มนักวิเคราะห์มืออาชีพต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัท

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ได้ให้กรอบราคาเป้าหมายในระยะ 12 เดือนข้างหน้าไว้ค่อนข้างน่าสนใจ โดยมีราคาสูงสุดที่ 10.00 บาท ราคาต่ำสุดที่ 7.00 บาท กรอบราคานี้ชี้ให้เห็นถึง Upside ที่ยังเหลืออยู่จากราคาปัจจุบัน

ประเด็นสำคัญจากบทวิเคราะห์ของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ จะพบว่ามีมุมมองที่สอดคล้องกันในหลายมิติ ดังนี้

  • บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เน้นย้ำถึง Backlog ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการหางานใหม่โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงงานภาครัฐเพียงอย่างเดียว และแนวโน้มผลกำไรที่กำลังฟื้นตัวอย่างชัดเจน
  • บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดการณ์การฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และคาดว่าผลประกอบการในปี 2568 จะพลิกกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง    
  • บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ชี้ให้เห็นว่า Backlog ที่มีอยู่สูงช่วยสร้างความมั่นคงทางรายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า และการมีสัดส่วนงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่ออัตรากำไร

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิด หาก สามารถบริหารจัดการและส่งมอบงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทะยานขึ้นของราคาหุ้นในครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเติบโตที่น่าติดตามในอนาคตข้างหน้า


อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ