เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติขยายมาตรการแก้หนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากเดิมที่เน้นช่วยเหลือลูกหนี้ของระบบสถาบันการเงิน และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ โดยขยายสู่ลูกหนี้ที่ได้รับสินเชื่อจากบริษัทที่ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือนอนแบงก์
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติขยายมาตรการแก้หนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จากเดิมที่เน้นช่วยเหลือลูกหนี้ของระบบสถาบันการเงิน และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ โดยขยายสู่ลูกหนี้ที่ได้รับสินเชื่อจากบริษัทที่ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือนอนแบงก์
โดยมีบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) 2 นอนแบงก์นำร่องเข้าร่วมโครงการ โดย 2 ราย จะได้รับการสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (Soft loan) จากธนาคารออมสิน เพื่อลดต้นทุนการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ สินเชื่อต่อรายไม่เกิน 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันแบงก์ชาติได้ประกาศขยายเวลาการสมัครแก้หนี้ในโครงการนี้ จากสิ้นสุดวันที่ 28 ก.พ. เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.ปีนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่ยังไม่ตัดสินใจเข้าโครงการแก้หนี้มาเข้าโครงการ
ทั้งนี้ ในวันเปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” กระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายว่าจะครอบคลุมลูกหนี้รายย่อยและเอสเอ็มอี 2.1 ล้านบัญชี จำนวนลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 890,000 ล้านบาท ขณะที่การขยายมาตรการไปสู่นอนแบงก์ คาดว่าจะครอบคลุมลูกหนี้อีก 1.7 ล้านบัญชี ยอดหนี้ร่วม 50,000 ล้านบาท
ขณะที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ครบ 1 เดือนของเวลารับสมัครเข้าโครงการ “แบงก์ชาติ” รายงานว่า มีลูกหนี้แสดงความประสงค์ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และอยู่ระหว่างตรวจสอบสิทธิ์แล้ว 497,552 ราย หรือคิดเป็นบัญชี 576,496 บัญชี ซึ่งน่าจะต่ำกว่าเป้าหมายไประดับหนึ่ง
และจากการสอบถามนายแบงก์ก็ยอมรับว่า ลูกหนี้ที่เข้าโครงการอาจจะต่ำกว่าที่คาด เทียบกับที่สมาคมธนาคารไทย คาดว่า จะช่วยลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงบริษัทลูกได้ราว 1.5 ล้านบัญชี ยอดหนี้กว่า 400,000 ล้านบาท เพราะเงื่อนไขโครงการยังไม่ตอบโจทย์ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายของ “ลูกหนี้” ที่มีความสามารถแก้หนี้ได้
โดยในส่วนของโครงการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” จะต้องเป็นหนี้เสียที่ขาดส่งมาแล้วอย่างน้อย 30 วัน นับจากเดือน ต.ค.67 หรือหากเคยปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ก็ต้องเคยเป็นหนี้เสียมาก่อนเช่นกัน ขณะที่อีกมาตรการจ่าย ปิด จบ ต้องเป็นหนี้เสีย 90 วัน ซึ่งหากถามว่าวันนี้ลูกหนี้กลุ่มนี้มีรายได้พอที่จะกลับมาชำระหนี้ได้แล้วหรือยัง ส่วนใหญ่ตอบว่า “ยัง” ทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้จึงไม่ตอบโจทย์การแก้หนี้ภายใต้โครงการ
ส่วนลูกหนี้ที่สนใจแก้หนี้ เป็นคนกลุ่มที่ยังมีรายได้ ยังจ่ายหนี้แต่เริ่มไม่ไหว แต่เข้าโครงการนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่เป็นหนี้เสีย จะเข้าโครงการปรับหนี้แบบปกติ เงื่อนไขก็ไม่จูงใจ ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้ แบงก์เองก็เห็นพฤติกรรมดีว่า ใครควรได้เข้าโครงการบ้าง แต่แบงก์อาจมองว่า ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร หากจะช่วยส่วนนี้
ขอย้ำคำเดิมว่า “คนที่อยากสู้ เขาก็อยากให้เราช่วย” เช่นกัน ถ้าครบรอบแรก 28 ก.พ.ยอดลูกหนี้ยังไม่วิ่ง อยากให้ภาครัฐปรับเงื่อนไขใหม่ให้ลูกหนี้ที่อยากแก้หนี้ตอบโจทย์โครงการนี้อย่างแท้จริง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม