ถูกทวงหนี้...ทำไงดี?  รู้ 3 สิ่งนี้ เข้าใจสิทธิทางกฎหมาย เป็นลูกหนี้ไม่ได้แปลว่าผิดเสมอไป

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ถูกทวงหนี้...ทำไงดี? รู้ 3 สิ่งนี้ เข้าใจสิทธิทางกฎหมาย เป็นลูกหนี้ไม่ได้แปลว่าผิดเสมอไป

Date Time: 30 พ.ค. 2568 13:49 น.

Video

SENA สร้างโซลูชันธุรกิจ แก้ปัญหาสังคม แก้วิกฤติอสังหาฯ ขายไม่ออก | On The Rise

Summary

คลินิกแก้หนี้ By SAM แนะ หนี้สินเป็นเรื่องปกติ แต่ “หนี้เสีย” คือภัยเงียบกระทบอนาคตรุนแรง หากเริ่มมีสัญญาณเสี่ยง ควรรีบเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และรู้ทันกฎหมาย ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ก่อนสายเกินแก้

"ชีวิตต้องสู้ เพราะกู้ไว้เยอะ"

ในยุคที่บัตรเครดิตกลายเป็นของสามัญประจำกระเป๋า และการขอสินเชื่อไม่ใช่เรื่องไกลตัว ภาพของผู้คนที่ต่อแถวเข้าคิวหน้าธนาคารยาวเป็นหางว่าว จึงสะท้อนให้เห็นว่า การมีหนี้เป็นเรื่องปกติ แต่หากหนี้นั้นกลายเป็น “หนี้เสีย” อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเงินอย่างรุนแรง

โดยหนี้เสีย หรือ NPL (NPL (Non-Performing Loan) หมายถึง หนี้ที่ไม่ได้รับการชำระคืนตามที่ตกลงกันในสัญญาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องเกิน 90 วัน โดยจะถูกจัดอยู่ในประเภท “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้”

ซึ่งการเป็นหนี้เสีย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประวัติในเครดิตบูโร ไปจนถึงการถูกฟ้องร้องทางแพ่ง ดังนั้น ทางที่ดีคือต้องป้องกันหนี้สินก่อนจะกลายเป็นหนี้เสีย

เปิดสัญญาณหนี้ (สงสัยจะ) เสีย 

  • จ่ายหนี้เกิน 45% ของรายได้
  • จ่ายขั้นต่ำจนเป็นนิสัย
  • กู้เงินเพิ่ม เพื่อนำมาจ่ายหนี้
  • หยุดชำระหนี้

โดนทวงถามแบบไม่ทันตั้งตัว แนะ 3 ข้อนี้ รับมือได้!

1. รู้ทันกฎหมายคุ้มครอง

เมื่อเกิดหนี้เสียขึ้นมา สิ่งที่ทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ต้องทำ คือ เข้าสู่กระบวนการจัดการหนี้ NPL ตามกระบวนการทางกฎหมายคดีแพ่ง

จากพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการทวงถามหนี้ โดยคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ไม่ให้ถูกละเมิด และในขณะเดียวกันก็กำหนดแนวทางให้เจ้าหนี้หรือผู้ติดตามหนี้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย

ในฝั่งของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิติดตามหนี้ กฎหมายกำหนดว่า บุคคลที่จะทำหน้าที่ทวงถามหนี้ได้ต้องเป็นเจ้าหนี้โดยตรง, ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้, หรือบริษัทรับจ้างติดตามหนี้ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามเจ้าหนี้มีสิทธิในการทวงถามหนี้ได้ แต่จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น ทวงถามไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน, ต้องระบุชื่อผู้ติดตาม, ชื่อเจ้าหนี้, ยอดหนี้ที่ค้างชำระ, และช่องทางการติดต่อกลับ

ขณะเดียวกันฝั่งลูกหนี้ก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องตระหนัก เช่น การแจ้งข้อมูลติดต่อให้ชัดเจน ไม่หลีกเลี่ยงการติดต่อโดยเจตนา และควรให้ความร่วมมืออย่างเหมาะสมในการชี้แจงสถานะหนี้

2. รีบเจรจา เปิดก่อน ได้เปรียบ

การเจรจาหนี้ คือ กระบวนการพูดคุยระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระของลูกหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งของการเจรจา ก็คือ “การเสนอหรือขอปรับโครงสร้างหนี้” เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระต่อไปได้ และเจ้าหนี้ก็ลดความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงิน

โดยสามารถแยกตามประเภทหนี้ อาทิ ประเภทสินเชื่อเงินสดอย่าง บัตรกดเงินสด หรือ บัตรเครดิต เหล่านี้สามารถขอเจรจา โดยใช้วิธีลดอัตราดอกเบี้ย หรือ ขยายระยะเวลาผ่อนชำระ ส่วนประเภทหนี้ที่เป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่ อย่างบ้านหรือรถ ก็สามารถขายหรือโอนทรัพย์ชำระหนี้ได้

และอีกหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญคือ “จดหมายเจรจาหนี้” ซึ่งลูกหนี้สามารถจัดทำด้วยตนเองโดยระบุสาระสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่

  • แนะนำตัว ระบุหมายเลขบัญชีหรือเลขที่สัญญากู้
  • อธิบายสาเหตุของการผิดนัด เช่น ตกงาน รายได้ลด ภาระฉุกเฉิน
  • เสนอแผนชำระหนี้ เช่น ขอลดดอกเบี้ย ขยายเวลาผ่อน หรือผ่อนแบบขั้นบันได (Step Up) พร้อมแนบตารางรายรับรายจ่าย หรือหลักฐานการมีรายได้ปัจจุบัน

นอกจากหนี้ทางคลินิกแก้หนี้ By SAM ยังได้แนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยวางแผนทางการเงินโดยเฉพาะ อย่าง “Financial Calculator” ที่สามารถประเมินภาระหนี้ปัจจุบัน โดยคำนวณยอดชำระรายงวด อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และระยะเวลาคงเหลือของหนี้ เพื่อให้เข้าใจสถานะทางการเงินของตนเองอย่างแท้จริง

และสามารถป้อนข้อมูลเงื่อนไขหนี้ที่ต้องการเสนอ เช่น การขอลดอัตราดอกเบี้ย การขยายระยะเวลาผ่อนชำระ หรือการปรับลดจำนวนเงินผ่อนต่อเดือน เพื่อใช้ในการเจรจาหนี้ได้ 

3. เข้าใจกระบวนการทางกฎหมาย

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อหนี้กลายเป็น NPL เจ้าหนี้ซึ่งอาจเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแม้แต่บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่รับโอนหนี้เสียไปบริหารต่อ จะเริ่มใช้มาตรการติดตามทวงถามที่เข้มข้นขึ้น จนอาจนำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมาย นั่นคือการ "ฟ้องร้องดำเนินคดี"

ในฐานะลูกหนี้เรามีสิทธิที่เจรจาได้ทั้ง ก่อนฟ้อง ระหว่างฟ้อง และหลังคำพิพากษา โดย "การเจรจาก่อนฟ้อง" คือ การเจรจาหนี้ เพื่อหาทางออกในการชำระหนี้ร่วมกัน ตามที่กล่าวด้านบน

ส่วน "การเจรจาระหว่างฟ้อง" คือ เมื่อคดีได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นทางการ   ศาลจะนัดวันให้คู่กรณีมาศาลเพื่อไต่สวนหรือไกล่เกลี่ย หาข้อยุติของคดีโดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาล ซึ่งจะช่วยให้คดีสิ้นสุดลงได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนการบังคับคดีที่อาจตามมา ซึ่งจะอยู่ในกระบวนการดูแลของศาลทั้งหมด

และฟางเส้นสุดท้าย คือ "การเจรจาหลังพิพากษา" เป็นการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้กลับมาพูดคุยและตกลงกันเพื่อหาแนวทางในการชำระหนี้ หลังจากที่ศาลได้มีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ และก่อนที่เจ้าหนี้จะดำเนินการบังคับคดี นี่คือโอกาสสุดท้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดทรัพย์หรืออายัดเงิน

จะเห็นได้ว่าการมีหนี้สินเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ แม้จะอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายแล้วก็ตาม เพราะในปัจจุบันมีทั้งเครื่องมือที่สามารถอำนวยความสะดวก ไปจนถึงหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่พร้อมช่วยเหลืออย่าง คลินิกแก้หนี้ By SAM ที่ประชาชนทุกคนสามารถขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาหนี้ได้เสมอ

 

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment    
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ