ในยุคที่ใบปริญญาไม่การันตีรายได้สูง และบัณฑิตใหม่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทางรอดที่แท้จริงคือวินัยทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งให้ชีวิตด้วยตนเอง
“เรียนสูงๆ จะได้มีงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ”
ประโยคคลาสสิกที่เราได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่ในยุคที่โลกหมุนเร็วขนาดนี้ อาจถึงเวลาที่เราต้องตั้งคำถามกับความเชื่อนี้อีกครั้ง เพราะข้อมูลล่าสุดจากธนาคารกรุงเทพ ได้สั่นสะเทือนความเชื่อนี้ และอาจทำให้หลายคนต้องกลับมาทบทวนแผนชีวิตกันใหม่เลยทีเดียว
ตัวเลขที่น่าตกใจ คือ บัณฑิตปริญญาตรี มีเพียง 47% เท่านั้น ที่มีรายได้สูงกว่ากลุ่มคนที่เรียนจบ ม.ปลาย แต่ต้องแบกทั้งหนี้ กยศ. ค่าเช่า ค่าครองชีพ พูดง่ายๆ คือ การทุ่มเงินและเวลาหลายปีเพื่อใบปริญญา อาจไม่ได้การันตีว่าคุณจะมีรายได้ที่ “คุ้มค่าเหนื่อย” อีกต่อไป
หลายคนอาจจะยังไม่อยากเชื่อ แต่ข้อมูลนี้มาจาก Bnomics by Bangkok Bank ของธนาคารกรุงเทพ ที่ได้สะท้อนภาพชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
รายได้เฉลี่ยที่ไม่พอ - บัณฑิตจบใหม่มี รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 23,818 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในเมืองใหญ่ ค่าเช่าที่พัก และภาระอื่นๆ แล้ว แทบไม่เหลือช่องว่างให้สร้างตัวหรือสร้างความมั่นคงได้ง่ายๆ
โจทย์ใหญ่เรื่องการว่างงาน - ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567 มีบัณฑิตที่ยังว่างงานสูงถึง 121,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ว่างงานทั้งหมด ทำให้บัณฑิตจำนวนมากต้องวนเวียนอยู่กับการฝึกงานฟรี หรือทำงานพาร์ตไทม์เพื่อรอโอกาส
ภาระหนี้ กยศ. - ปัญหาหนี้เพื่อการศึกษาเป็นอีกหนึ่ง “หนี้เงียบ” ที่ส่งผลกระทบในระยะยาว โดยปัจจุบันมีคนไทยเป็น หนี้ กยศ. มากถึง 5 ล้านคน และเกือบ 3.5 ล้านคนยังชำระไม่หมด ภาระหนี้ก้อนนี้ทำให้การวางแผนชีวิตในด้านอื่นๆ เช่น การซื้อบ้าน หรือการสร้างครอบครัว ต้องล่าช้าออกไป
ข้อมูลชุดนี้ไม่ใช่การบอกว่าการเรียน ป.ตรี ไม่ดี แต่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้เราตระหนักว่า “ใบปริญญา” ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเรียนรู้ และไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จทางการเงินอีกต่อไป แต่เป็นเพียง “ใบเบิกทาง” ที่เราต้องนำไปต่อยอดด้วยทักษะและความรู้ทางการเงิน
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การมีแค่ความรู้ในตำราจึงไม่พอ แต่ต้องมีความรู้ทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเอง สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) ได้ให้แนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที เพื่อให้เรามี “เงินเก็บ” และสร้างความมั่นคงได้แม้รายได้เริ่มต้นอาจไม่สูงอย่างที่ฝันไว้ ดังนี้
1.จ่ายให้กับเงินเก็บ เป็นอันดับแรก
ทันทีที่เงินเดือนเข้า ให้โอน 10-20% ไปเก็บก่อนเป็นอันดับแรก โดยเลือกช่องทางให้เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์ของคุณ กรณีรับความเสี่ยงจากการลงทุนไม่ได้ อาจเลือกหักบัญชีอัตโนมัติทุกเดือนไปเก็บเงินในเงินฝากประจำปลอดภาษี ที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่หากรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้และมีภาระภาษีเงินได้ อาจเลือกตัดเงินลงทุนอัตโนมัติไปลงทุนกองทุน SSF หรือกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อเป็นทั้งเงินเก็บ เพิ่มผลตอบแทนระยะยาว และช่วยลดหย่อนภาษี
2.แยกงบรายจ่าย ให้ชัดเจน
หลังจากกันเงินเก็บ 10 - 20% ของรายได้แล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าเงินส่วนที่เหลือ 80 - 90% จะเพียงพอกับรายจ่ายทั้งเดือน ควรตั้งงบรายจ่ายในแต่ละเรื่องให้ชัดเจน และแยกจัดสรรไว้ต่างบัญชีกัน เช่น รายจ่ายประจำ (ค่าเช่าบ้าน, ค่าผ่อนรถ, ค่าประกัน) ให้กันเงินส่วนนี้ไว้ในบัญชีแยกต่างหาก และห้ามนำไปใช้เรื่องอื่นเด็ดขาด และรายจ่ายผันแปร (ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, สังสรรค์, ชอปปิง) ควรกำหนดงบประมาณที่ชัดเจน และพยายามใช้ไม่ให้เกินงบ
3.เลือกที่พักเงินรอจ่าย ที่ช่วยให้งอกเงย
อย่าทิ้งเงินที่แบ่งไว้รอจ่ายในบัญชีออมทรัพย์ธรรมดาที่ดอกเบี้ยต่ำ ให้ย้ายเงินเหล่านั้นไปพักใน บัญชีเงินฝาก e-Savings ซึ่งเปิดผ่านมือถือได้ง่ายๆ และให้ดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไปถึง 5 เท่า (เช่น 1.5% ต่อปี) วิธีนี้จะทำให้เงินทุกบาททุกสตางค์ของคุณได้ทำงานสร้างผลตอบแทน แม้จะเป็นเงินที่รอจ่ายก็ตาม
ที่มา : ธนาคารกรุงเทพ, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย