กฎโอนเงิน 50,000 บาท กระทบใคร?

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

กฎโอนเงิน 50,000 บาท กระทบใคร?

Date Time: 26 ส.ค. 2568 04:15 น.

Summary

สัปดาห์ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้ออกกฎใหม่ออกมา คือ มาตรการกำหนดวงเงินการโอนเงินสูงสุดต่อวันของบัญชีเงินฝากลูกค้าธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบัญชี Mobile Banking และ Internet Banking โดยแบ่งระดับ “วงเงินการโอน” เป็น 3 ระดับ

Latest

ถอดรหัสรวยเร็ว สไตล์ "ดิว วีรวัฒน์” ค้าขายทำเงินก่อน ใช้หุ้นต่อยอด Capital Gain คือคำตอบ

สัปดาห์ที่ผ่านมาแบงก์ชาติได้ออกกฎใหม่ออกมา คือ มาตรการกำหนดวงเงินการโอนเงินสูงสุดต่อวันของบัญชีเงินฝากลูกค้าธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบัญชี Mobile Banking และ Internet Banking

ซึ่งหลังจากกฎนี้ออกมา “ธนาคารพาณิชย์” จะทำการวิเคราะห์บัญชีเงินเข้าเงินออกเฉลี่ยในแต่ละวันของเรา ย้อนหลังไประยะหนึ่งเพื่อที่จะคำนวณหา “วงเงินที่เหมาะสมในการทำธุรกรรมการเงินในแต่ละวัน” และแจ้งกลับมายังลูกค้า เพื่อปรับยอดวงเงินที่เราจะโอนได้สูงสุดต่อวันตามเวลาที่แบงก์ชาติกำหนด

โดยแบ่งระดับ “วงเงินการโอน” เป็น 3 ระดับ คือ บัญชีระดับ S คือ บัญชีที่โอนเงินได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน บัญชีระดับ M โอนเงินได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และบัญชีระดับ L โอนเงินได้สูงสุดเกินกว่า 200,000 บาท ทำให้หลายคนกังวลว่า กฎดังกล่าวจะทำให้เราโอนเงินจำนวนมากๆในกรณีฉุกเฉินไม่ได้!!

วันนี้จึงอยากจะมาทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า การกำหนดวงเงินสูงสุดทำอย่างไร อย่างที่เล่าให้ฟังว่าก่อนกำหนด “วงเงิน” ธนาคารจะต้องมีการวิเคราะห์บัญชีย้อนหลังว่าเราใช้เงินอย่างไร เช่น ร้อยวันพันปีเราโอนเงินต่อวันไม่เกิน 10,000 บาท มีช่วงต้นเดือนเท่านั้นที่จะโอนเงินสูงกว่านั้น เช่น 20,000-30,000 บาท เราก็อาจจะถูกจัดไปอยู่ใน “บัญชี S”

แต่หากตามประวัติเราโอนเงินวันละเป็นแสนต่อเนื่องกัน แต่ไม่เกิน 2 แสน เราก็จะอยู่ในบัญชี M หรืออีกกรณีหากเราใช้บัญชีนี้ทำธุรกิจ เคยโอนเงินวันละ 5 แสนบาท วันละ 1 ล้านบาทเป็นประจำ ธนาคารก็จะจัดเราไปไว้ในบัญชี L ซึ่งการแยกแบบนี้ธนาคารและแบงก์ชาติมองแล้วว่าไม่กระทบการทำธุรกรรมที่ลูกค้าทำตามปกติ

แล้วบัญชีแบบไหนที่จะได้รับผลกระทบ กรณีที่ 1 คือ บัญชีที่ธนาคารจับตาพฤติกรรมมาระยะหนึ่งแล้ว น่าจะเป็น “บัญชีม้า” หรือบัญชีที่ธนาคารไม่รู้จักตัวตนลูกค้า เช่น ส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ไม่มายืนยันตัวตน กรณีนี้จะตัดวงเงินสูงสุดที่จะโอนได้ต่อวันเหลือ 50,000 บาท และหากต้องการโอนเงินสูงกว่านั้น ต้องมายืนยันตัวตนกับธนาคาร

กรณีที่ 2 คือ บัญชีกลุ่มเปราะบาง คือ กลุ่มผู้สูงอายุเกิน 65 ปี และเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี เพราะจากสถิติที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ถูกหลอกจากมิจฉาชีพสูงสุด โดยเฉพาะกลุ่มคนสูงอายุที่ความเสียหายต่อเคสเฉลี่ยเกือบ 5 แสนบาท หากปรับลดลงมาให้โอนได้เพียง 50,000 บาท ความเสียหายเมื่อถูกหลอกจะลดลง ไม่ถึงกับโอนไปหมดบัญชีในครั้งเดียว

ส่วนกรณีมีความจำเป็น ลูกค้าไม่ว่าบัญชี S หรือ M ต้องการโอนเงินมากกว่าที่กำหนดจะทำอย่างไร ลูกค้าต้องมีการติดต่อกับธนาคารไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพื่อขอปรับวงเงินตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล และแจ้งเหตุผล ซึ่งจะใช้เวลาในการปรับวงเงินไม่นานเป็นหลักนาที หรือชั่วโมง หากต้องการโอนเงินฉุกเฉิน

และหากเป็นกลุ่มเปราะบาง ธนาคารจะมีการถามคำถามพิเศษ เช่น การโอนเงินนี้ไปเพื่อให้ตำรวจตรวจสอบหรือไม่ หรือคำถามที่สอดคล้องกับพฤติกรรมมิจฉาชีพในช่วงนั้น เพื่อกระตุกให้ผู้ที่จะโอนคิดดูอีกครั้งว่ากำลังโดนหลอกหรือไม่

ซึ่งปรากฏดังกล่าว แม้คนส่วนรวมอาจจะต้องเสียสละยุ่งยากเพิ่มขึ้นบ้าง แต่หากช่วยยับยั้งคนไทยไม่ให้ถูกหลอกได้เพิ่มขึ้น แม้ไม่กี่กรณี ก็ถือว่ายังดีหากเทียบกับเงินกว่า 2,000 ล้านบาทที่คนไทยเสียให้โจรออนไลน์ในขณะนี้ทุกเดือน.

มิสเตอร์พี

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ