เงินบาทแข็งค่าแรง 7% จากต้นปี 68 แต่ต้องใช้ดอลลาร์ฯ - ทำธุรกิจส่งออกจะรับมืออย่างไร

Personal Finance

Financial Planning

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินบาทแข็งค่าแรง 7% จากต้นปี 68 แต่ต้องใช้ดอลลาร์ฯ - ทำธุรกิจส่งออกจะรับมืออย่างไร

Date Time: 10 ก.ย. 2568 14:12 น.

Video

เบื้องหลังการลงทุนคริปโตของ นาโอมิ นิชิยาม่า เริ่มต้นเพราะใครกันนะ? l Money Secret EP.5

Summary

เงินบาทแข็งค่าแรงถึง 7% จากต้นปีนี้เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าและราคาทองคำที่สูงขึ้น แม้สถานการณ์นี้มีทั้งคนที่ “ได้-เสีย”ประโยชน์ แต่เราจะวางแผนเพื่อรับมือความผันผวนค่าเงินได้อย่างไร

หลายคนอาจสงสัยว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าจนทะลุ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในรอบ 4 ปีนี้ เกิดขึ้นเพราะปัจจัยในช่วงนี้หรือเปล่า และการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 7% จากต้นปีนี้จะส่งผลกระทบต่อ “ใคร” หรือเราจะวางแผนรับมืออัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนนี้อย่างไร

เกิดอะไรขึ้นกับค่าเงินบาทของไทย?

ถ้าเราย้อนดูจากต้นปี 2568 พบว่าค่าเงินบาทอยู่ราว 34.41 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จนช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาเงินบาทมาอยู่ที่ 31.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้นราว 7.7% (ข้อมูลจาก TradingView) เรียกว่าใครที่แลกเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ในช่วงต้นปี มาถึงตอนนี้มูลค่าของเงินเมื่อแลกคืนเป็น “บาท” ก็ได้น้อยลงไปด้วย 

แต่เรื่องที่หลายคนสงสัยคือ แล้วเงินบาทแข็งค่าเพราะอะไร? 

ล่าสุดนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เล่าให้ Thairath Money ฟังว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่วันศุกร์ที่ 5 กันยายน สาเหตุหลักเพราะดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากแรงกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะลดดอกเบี้ยนโยบายลง ในปี 2568 อาจลดถึง 3 ครั้ง และปี 2569 อีก 3 ครั้ง

ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล หรือ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ให้อ่อนแอลง แต่อีกปัจจัยเฉพาะที่ทำให้เงินบาทยังแข็งค่าขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของเอเชียก็เพราะราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นมาตลอด (ส่วนใหญ่คนไทยเริ่มเทรดทองมากขึ้นตั้งแต่หลังโควิด ทำให้มูลค่าการซื้อขายนั้นมีผลต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น)

ส่วนแนวโน้มเงินบาทจะไปทางไหน? ธนาคารกรุงไทย คาดว่า เงินบาทเริ่มชะลอการแข็งค่า หรืออาจอ่อนค่าขึ้นบ้าง ในระยะสั้นสิ้นเดือนกันยายน 2568 คาดว่า อาจเห็นการอ่อนค่ามาอยู่ที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และสิ้นปี 2568 อาจเห็นการแข็งค่ามาอยู่ที่ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

เงินบาทแข็ง ใครได้ - ใครเสียผลประโยชน์?

จะเห็นได้ว่าค่าเงินบาทนั้นมีความผันผวนและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยรอบด้านที่อาจเกิดขึ้น และหลายคนอาจสงสัยว่า

“ค่าเงินบาทเปลี่ยนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ?”

ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ หมายถึงเราจะใช้เงินบาท “น้อยลง” ในการแลกสกุลเงินต่างประเทศ เช่น เมื่อวานเราใช้ 34.00 บาทเพื่อแลก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่วันนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้เราใช้เงินแค่ 32.00 บาทในการแลก 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นเอง

มาถึงเรื่องสำคัญคือ เงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลกระทบต่อใครบ้าง Thairath Money สรุปมาให้ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 

คนที่ได้ประโยชน์เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น คือ

  • ผู้นำเข้าสินค้า/เครื่องจักร/อุปกรณ์ จากต่างประเทศที่ต้องจ่ายชำระค่าของต่างๆ ในสกุลต่างประเทศ ก็เหมือนได้ลดต้นทุนเพราะใช้บาทน้อยลงเพื่อแลกเงินสกุลต่างชาติ
  • บุคคลทั่วไป เมื่อจะซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มีลูกเรียนอยู่เมืองนอก หรือจ่ายบิลค่าบริการ Subscribe ต่างๆ ที่เป็นสกุลเงินต่างชาติ ไปจนถึงแลกเงินเตรียมไปเที่ยว เมื่อบาทแข็งก็ใช้แลกเป็นเงินสกุลอื่นได้มากขึ้น
  • นักลงทุน ช่วงนี้ถ้าอยากลงทุนในหุ้น กองทุนต่างประเทศ ก็คุ้มค่ากว่าตอนเงินบาทแข็งค่าเช่นกัน
  • มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศ เช่น ถ้าเรามีสินเชื่อที่ต้องจ่ายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจเป็นช่วงที่ภาระหนี้เบาขึ้น

คนที่เสียประโยชน์เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น คือ

  • ผู้ส่งออก เมื่อส่งขายสินค้าไปแดนไกล เช่น ได้เงินค่าสินค้าเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่มาได้เงินช่วงบาทพลิกแข็งค่า ย่อมหมายถึงรายได้ที่ได้จากต่างประเทศเหล่านั้นจะแลกกลับเป็นเงินบาทได้จำนวนลดลง
  • คนทำงานในต่างประเทศ เมื่อต้องส่งรายได้กลับมาให้ครอบครัวในประเทศไทย เงินก้อนนั้นพอแลกเป็นเงินบาทแล้วจะได้จำนวนลดลงเช่นกัน
  • กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่รับเงินสกุลต่างประเทศ กลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป เงินบาทพลิกอ่อนค่า กลุ่มคนที่ “ได้-เสีย” ประโยชน์ก็จะกลับกันทันที ดังนั้นถ้าจะต้องรับมือค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็ต้องวางแผนรับมือกับค่าเงินบาทที่ผันผวน

วิธีรับมือกับค่าเงินที่ผันผวน

ถ้าถามว่าสาเหตุที่ค่าเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงบ่อยมีทั้งการแข็งค่าและการอ่อนค่า ก็เพราะปัจจัยโลก เศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นใครที่ต้องทำธุรกรรม หรือต้องแลกเงินต่างประเทศ ก็ต้องวางแผนเพื่อรับมือความไม่แน่นอนนี้

สำหรับบุคคลทั่วไป หรือภาคธุรกิจนั้น การวางแผนรับมือกับค่าเงินที่ผันผวนนั้นมีอยู่ 4 วิธีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แนะนำ ได้แก่

1. แลกเงินไว้ในตอนที่เรารู้สึกว่า ‘คุ้ม’

เช่น หากมีแผนจะไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาเร็ว ๆ นี้ ให้แลกสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ในตอนที่บาทแข็ง เพราะหากบาทอ่อน จะแลกเงินได้น้อยลงและอาจไม่คุ้มค่านัก

2. ใช้ Travel Card

ถ้าไม่สะดวกที่จะไปร้านแลกเงิน สามารถใช้ Travel Card เพื่อแลกเงินสกุลต่างประเทศไว้ล่วงหน้าได้ ข้อดีคือมีให้เลือกหลายผู้ให้บริการ และแลกเงินผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที  

3. ฝากเงินในบัญชีสกุลเงินต่างประเทศ (FCD)

เป็นวิธีที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากถือเงินสกุลต่างชาติไว้ในระยะยาว เพราะนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากค่าเงินผันผวนแล้ว ยังได้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงินบาทอีกด้วย เช่น บางธนาคารเมื่อฝากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจได้ดอกเบี้ยสูงเกือบ 5% ต่อปี

4. ซื้อขาย USD Futures ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของไทย (Thailand Futures Exchange: TFEX) 

สามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนได้โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานหรือมีวงเงินกับธนาคาร ซึ่งมีความสะดวกกว่าการทำ FX forward กับธนาคารพาณิชย์

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าค่าเงินบาทจะแข็งหรืออ่อน ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นเสมอ แต่ด้วยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบและมีวินัย เราจะสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง

อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ