
ผลสำรวจชี้ "งานศิลปะ" เทรนด์ใหม่ในการส่งต่อมรดกไปรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่เงื่อนไขภาษีของไทยถ้ารับงานอาร์ตเป็นมรดกต้องวางแผนยังไงดี?
สมัยก่อนใครมีทรัพย์สินมรดกมักเป็นเงินในบัญชีธนาคารหรือทองคำ แต่ในปัจจุบันมีเทรนด์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศคือการให้ “งานศิลปะ” เป็นมรดกไปสู่คนรุ่นหลัง
ผลสำรวจ The Art Basel and UBS Survey of Global Collecting 2025 พบว่า กลุ่มผู้มีสินทรัพย์สูง (HNWIs-มีสินทรัพย์ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป) ในกลุ่มต่างชาติเริ่มแบ่งเงินมาสะสมงานศิลปะมากขึ้น เหล่านักสะสมกลุ่ม HNWIs จัดสรรเงินเฉลี่ย 20% จากทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขามาเป็นงานศิลปะ จากปี 2024 ที่อยู่ราว 15%
ขณะที่มุมมองของคนรุ่นใหม่กว่า 90% ของ Gen Z ที่เคยได้รับงานศิลปะสืบต่อมาจากครอบครัวนั้นเลือกที่จะเก็บสะสมต่อไป นอกจากนี้ผู้ที่ตอบแบบสำรวจกว่า 80% บอกว่าพวกเขาวางแผนจะส่งต่อของสะสมให้เป็นมรดกแก่สมาชิกในครอบครัวในอนาคต
จากข้อมูลเหล่านี้ อาจสะท้อนว่าในต่างประเทศงานศิลปะอาจไม่ใช่แค่เรื่องความชอบ แต่มีมูลค่าและมีผลต่อความมั่งคั่งของพวกเขาด้วย
ในไทยเองก็มีหลายตระกูลที่ส่งต่อ “ของสะสม” งานศิลปะเป็นมรดกกันมากมาย แต่ถ้าถามว่าการได้รับมรดกเป็นศิลปะ เช่น “ภาพวาด” ต้องเสียภาษีไหม? เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ได้ให้ข้อมูลกับ Thairath Money ว่า ภาพวาดถูกจัดเป็นสินทรัพย์ประเภท ‘สังหาริมทรัพย์’ ซึ่งตามมาตรา 12 และ มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก ไม่ได้รวมทรัพย์สินประเภทนี้ไว้ในเงื่อนไขที่ต้องเสียภาษี ดังนั้น จากข้อมูลเบื้องต้นถ้าเราได้ภาพวาดมาในมรดกไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษีมรดก เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บัญญัติเอาไว้
ซึ่งจากกรมสรรพากรระบุไว้ว่า ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก ประกอบไปด้วย
1. อสังหาริมทรัพย์
2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
3. เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งอยู่ในประเทศไทย ที่เจ้ามรดกมีสิทธิเรียกถอนคืนหรือสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงินหรือบุคคลที่ได้รับเงินนั้นไว้
4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน
5. ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
แต่อย่างไรก็ดี เราอาจต้องดูกันต่อไปว่าประเทศไทยจะมีการกำหนดเก็บภาษีมรดกจากภาพวาดหรืองานศิลปะอื่น ๆ อีกหรือไม่ในอนาคต
แม้ภาพวาดจะไม่ได้เสียภาษีมรดก แต่ถ้าเราคิดที่จะส่งต่อทรัพย์สินหรือของสะสมต่าง ๆ ให้ลูกหลาน อย่างน้อยก็รู้ว่าเราจะมีมรดกแบบไหน เท่าไร ควรเริ่มต้นวางแผนยังไง ซึ่งทาง Thairath Money ได้สรุปมาให้แล้ว ดังนี้
1. สำรวจทรัพย์สมบัติในปัจจุบัน: รวบรวมรายการ "ทรัพย์สิน" และ "หนี้สิน" ทั้งหมดของเราไว้ในที่เดียว ระบุจำนวน และเก็บไว้ที่ไหนบ้าง เพื่อให้เรารู้อย่างชัดเจนและง่ายขึ้นตอนทำพินัยกรรม เช่น เรามีเงินสด 100,000 บาท และมีรูปวาดที่เป็นผลงานลิมิเต็ดของศิลปินชื่อดังทั้งหมด 10 รูป มูลค่ากว่า 100,000 บาท เก็บไว้ที่บ้าน เป็นต้น (หรือบางคนอาจรวมของสะสมตระกูล Popmart ไว้ก็ได้)
เรื่องหนี้ก็สำคัญมาก เพราะผู้รับมรดกของเราไปต้องรับหนี้สินที่เรามีไปด้วย การระบุให้ชัดเจนอาจช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
2. ทำพินัยกรรม: เพื่อให้เราส่งต่อทรัพย์สินได้ตรงคน ตรงใจ ซึ่งพินัยกรรมมีหลายรูปแบบเราควรหาข้อมูลก่อนทำ แต่เบื้องต้นข้อมูลที่ต้องระบุลงในพินัยกรรม เช่น ชื่อนามสกุล, รายการทรัพย์สินตั้งแต่ บ้าน, ที่ดิน, ของสะสม, กรมธรรม์ประกัน, รายชื่อผู้รับมรดก ผู้จัดการมรดก, สัดส่วนทรัพย์สินที่จะแบ่งให้แต่ละคน, ลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรม และวันเดือนปีที่ทำให้ชัดเจน
ทั้งนี้ เราควรอัปเดทข้อมูลในพินัยกรรมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่า เงื่อนไขที่เราตั้งไว้ยังตรงกับความต้องการของเรา และปรับตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น เรามีทรัพย์สินเพิ่ม, มีลูกเพิ่ม หรือหย่าร้าง เป็นต้น
3. วางแผนภาษีมรดก: ตามกฎหมายแล้ว ผู้รับมรดก มีหน้าที่เสียภาษี เมื่อได้รับมรดกสุทธิ (หลังหักหนี้สินที่ตกทอดมา) ที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท โดยจะคิดภาษีเฉพาะส่วนที่เกินขึ้นมา ซึ่งพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ระบุไว้ว่า อัตราภาษีมรดกนั้นคือ 10% ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าผู้รับมรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดาน ให้เสียภาษีในอัตรา 5% ของมูลค่ามรดกสุทธิที่ต้องเสียภาษี
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าทรัพย์สินของเราจะมีมูลค่าน้อยหรือมาก สิ่งสำคัญคือเราต้องจัดการ บริหาร และวางแผนมรดกให้เป็น เพราะนี่ไม่ใช่แค่การส่งต่อ 'ของ' แต่มันคือการส่งต่อ 'ความรัก' โดยไม่ทิ้งภาระหรือปัญหาไว้ให้คนข้างหลังต้องมาปวดหัว
ที่มา : The Art Basel and UBS, กรมสรรพากร
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney