ค่ายรถ EV ล้มละลาย ถึงคนไม่ตัดใจขายขาดทุนก็มีเรื่องให้คิดมากอีกเพียบทั้ง ศูนย์บริการปิดตัว, อะไหล่ซ่อมต้องรอ 5-6 เดือน ไปจนถึง ความเสี่ยงประกันภัยอาจไม่ต่ออายุในปีถัดไป?
“หาซื้อรถ Neta ราคา 150,000 บาท”
นี่คือตัวอย่างของโพสต์ในกลุ่มคนชื่นชอบรถไฟฟ้า หลังเห็นข่าวบริษัทแม่ของ Neta ล้มละลายเมื่อเดีอนก่อน นับเป็นหนึ่งในผลกระทบจาก “สงครามหั่นราคารถไฟฟ้า” ที่ทำเกิดชาวดอยรถ EV จำนวนมาก ตัวอย่างเช่นราคาขาย NETA V มือ 1 ที่ราว 300,000 - 450,000 บาท ถึงขั้นมาตามหามือสองในราคาต่ำเกินครึ่งไปแล้ว
แต่ปัญหาไม่ใช่แค่นั้น เพราะถึงคนมีรถไฟฟ้าแบรนด์ที่ล้มละลายจะไม่ตัดใจขายขาดทุน ก็มีเรื่องให้คิดมากอีกเพียบทั้ง ศูนย์บริการปิดตัว, อะไหล่ซ่อมต้องรอ 5-6 เดือน ไปจนถึง ความเสี่ยงประกันภัยอาจไม่ต่ออายุในปีถัดไป?
ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นคำถามที่ตอบยากว่า เจ้าของรถกลุ่มนี้ต้องจะทำอย่างไรต่อไป จะวางแผนรับมืออย่างไรได้บ้าง
ถึงในไทยจะใช้ชื่อแบรนด์ว่า NETA ภายใต้ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด แต่ที่จีนหลายคนอาจรู้จักในชื่อ Hozon (บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอยี่ ออโตโมบิล) ที่เข้าสู่กระบวนการล้มละลายในจีนเมื่อ 19 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา หลังข่าวล้มละลายในยังเห็นการปิดโชว์รูมและศูนย์บริการตามมา
ในไทยเบื้องต้นคาดว่ามียอดขายรถ NETA ราว 25,000 คัน แม้บริษัทฯ NETA ยังไม่เปิดทำการ แต่ก็เห็นการปิดโชว์รูมและศูนย์บริการบางส่วน หรือเจ้าของรถไปร้องเรียนว่าซ่อมรถหนึ่งครั้งต้องรออะไหลไป 5-6 เดือน
แค่ต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่นก็เศร้าแล้ว แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ บางคนซื้อ NETA ในราคา 450,000 - 549,000 บาท แต่พอค่ายรถหั่นราคาลงราคารถมือสองก็ร่วงลงตาม ยังส่งผลกระทบต่อ การต่ออายุประกันภัยรถยนต์ในปีถัดไปเพราะ “ทุนเอาประกัน” จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งหมายถึงถ้ารถเสียจะเคลมขึ้นมาวงเงินความคุ้มครองที่ซื้อไว้ก็จะลดลงตามราคารถยนต์ ส่วนหลายบริษัทประกันฯ อาจไม่ขายประกันชั้น 1 ให้เหมือนเดิม
ล่าสุด Thairath Money ลองเช็กราคาประกันรถชั้น 1 ในกลุ่มรถน้ำมันทั่วไป เราสามารถเปรียบเทียบและเลือกตามเว็บไซต์ หรือทักไปถามตัวแทนได้เลย
แต่สำหรับรถไฟฟ้าไม่ใช่! บางบริษัทไม่ได้รับประกันรถไฟฟ้า หรือรับแค่บางแบรนด์บางรุ่นเท่านั้น หรือถ้ารับทุนเอาประกันอาจเหลือแค่ 100,000 บาท จากราคารถที่ซื้อมาเกือบครึ่งล้าน โดยเฉพาะ NETA
ยกตัวอย่างเช่น นายหน้าประกันภัยอย่าง TQM
- ช่องทางเว็บไซต์ “ไม่มีประกันชั้น 1” สำหรับ NETA V แต่มีประกันรถชั้น 3 (ซ่อมเฉพาะคู่กรณี) มีตัวเลือกเพียง 3 บริษัทประกันภัยเท่านั้น
- ช่องทางโทรศัพท์ “มีประกันชั้น 2+” ของบมจ. วิริยะประกันภัย ทุนเอาประกันเหลือ 100,000 บาท ในเงื่อนไขซ่อมอู่ แต่เบี้ยฯ อยู่ที่ 15,000 บาท/ปี และประกันชั้น 3 เบี้ย 2,600 บาท/ปี ซ่อมเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งนายหน้ายังย้ำว่าราคานี้อาจเปลี่ยน หรือซื้อแล้วบริษัทฯ ต้องพิจารณาอีกทีว่ารับประกันไหม
สำหรับเรื่องประกันแหล่งข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย เล่าว่า NETA เข้าไทยมา 3 ปีแล้ว บริษัทประกันฯ ที่เข้าไปรับประกันภัยชั้น 1 ที่แถมให้กับรถซื้อใหม่ ขาดทุนกันถ้วนหน้า Loss Ratio หรืออัตราค่าสินไหมทดแทนเกิน 100% กันหมด (ปกติจะเฉลี่ยราว 50-60%)
ดังนั้น ธุรกิจประกันภัย กลัวที่จะรับประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 แบรนด์ที่ล้มละลายเพราะ Loss ratio ไม่ดี และบริการหลังการขายก็ทำได้ยาก เพราะอะไหล่ต้องมาจากจีนแต่เขาล้มละลายไปแล้ว แม้ปัจจุบันจะเห็นการขยายไปซ่อมอู่กันมากขึ้น
ส่วนแหล่งข่าวจากธุรกิจประกันภัยอีกรายหนึ่ง เล่าว่า เมื่อศูนย์บริการรถไฟฟ้าปิด โดยส่วนใหญ่ก็จะมีปัญหาเรื่องการรับประกันภัย ในส่วนของบริษัทชะลอการรับประกันภัยใหม่ (รถไฟฟ้ามือ 1 บางแบรนด์) เพราะบริษัทฯ ไม่สามารถที่จะให้บริการลูกค้าได้เมื่อเกิดความเสียหาย ทั้งกรณีไม่มีอะไหล่หรือการรออะไหล่ในการซ่อมนานเช่น 5-6 เดือน
“ต่อให้เบี้ยประกันภัยแพงแค่ไหน ก็อาจไม่สามารถจะรับประกันได้เพราะจะรับผิดชอบการซ่อมไม่ได้ทั้งหมด” แหล่งข่าว กล่าว
ดังนั้น ใครที่มีรถในกลุ่มนี้น่าจะต้องเช็กให้บ่อยขึ้นว่า ตัวแทนหรือดีลเลอร์ในไทยที่เราซื้อ ศูนย์บริการที่เคยใช้ยังอยู่ไหม, ราคารถ/อะไหล่ รุ่นที่เราใช้งานอยู่ที่เท่าไร รวมถึงเช็กสภาพรถและแบตเตอรี่อยู่เสมอเพื่อวางแผนซ่อมบำรุงก่อนจะรถจะเสียหายหนัก
ถ้าเรามีรถไฟฟ้าค่ายที่ล้มละลายอยู่ 1 คัน สิ่งที่ยากที่สุดคือ จะต่อประกันชั้น 1 ได้ไหม ทุนเอาประกันจะลดลงเท่าไร ดังนั้น Thairath Money มีอินไซต์และคำแนะนำเพื่อให้เราวางแผนการประกันภัยรถ EV ได้ง่าย ดังนี้
1) ถ้าอยากทำประกันรถชั้น 1 ต่อไป ให้เริ่มติดต่อบริษัทประกันภัยเจ้าเดิมที่ใช้อยู่ เพราะส่วนใหญ่จะมีนโยบายดูแลลูกค้าปัจจุบัน ขณะที่บริษัทฯ อื่นๆ ในตลาดอาจไม่รับประกันรายใหม่เพราะเสี่ยงจะขาดทุน แต่อาจลองติดต่อช่องทางตัวแทนของบริษัทต่างๆ เพื่อให้เขาอัปเดตเมื่อมีแบบประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 ที่เปิดขาย
2) เตรียมใจไว้เพราะเบี้ยประกันอาจเพิ่มขึ้น เช่น จาก 15,000 บาท/ปี อาจขึ้นเป็น 20,000 บาท/ปี แต่ถึงใครเช็กแล้วเจอว่าราคาเบี้ยฯ เพิ่มไม่มาก ยังต้องดูว่าช่อง “ทุนเอาประกัน” หรือความคุ้มครองที่เราจะได้รับอยู่ที่เท่าไร เพราะทุนฯ จะลดลงจากราคารถไฟฟ้ามือสองที่ร่วงลงเช่นกัน เช่น ตอนนี้
3) ถ้าไม่มีประกันรถชั้น 1 ให้เลือก อาจต้องเลือกประกันรถชั้น 2+, 3+ ที่ความคุ้มครองน้อยลง เช่น ประกันรถชั้น 3 ที่ขายอยู่ตอนนี้แม้เบี้ยราคาถูก 2,000 - 3,000 บาท/ปี (ทุนเอาประกันเหลือ 100,000 บาท) ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุรถชนกับรถคันอื่นๆ หรือเกิดความเสียหายที่ไม่มีคู่กรณีอย่าง เฉี่ยวเสา, ชนไหล่ทาง ฯลฯ ฝั่งรถของเราจะเคลมไม่ได้ แต่ยังมีวงเงินสำหรับเคลมรถคู่กรณี 1 ล้านบาท
นอกจากนี้คือ ต้องหาอู่ซ่อมรถไฟฟ้าที่พร้อมให้บริการรถของเราไว้ เพราะตอนนี้เมื่อบริษัทล้มละลายศูนย์บริการในไทยก็ลดลงไปด้วย เลยเห็น “อู่รถไฟฟ้า” พยายามรองรับรถหลักหมื่นคันที่วิ่งอยู่ในไทย แต่ยังต้องดูเรื่องคุณภาพการซ่อม
ง่ายที่สุดอาจเช็กกับบริษัทประกันภัยที่รับประกันรถ EV ว่า แนะนำอู่ที่ไหนบ้าง เพราะบริษัทประกันมักเลือกอู่ซ่อมรถคุณภาพดี ถ้าซ่อมแล้วจบงาน ไม่มีปัญหาตามมา บริษัทก็ไม่ต้องเสียเงินซ้ำเพื่อเคลมงานซ่อมที่ไม่ได้มาตรฐาน
ที่สำคัญคือ ซื้อประกันแล้วต้องอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์ให้ครบถ้วนตั้งแต่ วงเงินความคุ้มครอง หรือทุนเอาประกันภัย ไปจนถึงเงื่อนไขในการจ่ายเคลม เช่น ถ้าซื้อแบบประกันรถที่มีค่าใช้จ่ายส่วนแรก แม้เบี้ยฯ จะถูกกว่าแบบทั่วไป แต่เมื่อชนหรือเกิดความเสียหายเราต้องควักเงินจ่ายส่วนแรกตามที่ตกลงไว้ ถึงจะเริ่มเคลมกับบริษัทประกันฯ ได้
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney