เคล็ดลับของเศรษฐีจำนวนมากไม่ได้อยู่แค่การมีรายได้ แต่คือ การเปลี่ยนรายได้ไปสู่การสร้าง “Asset” หรือสินทรัพย์ที่เติบโตได้ และจะสร้างเงินให้ได้ต่อเนื่อง
เมื่อพูดถึง “เศรษฐี” หรือ “คนดังระดับโลก” หลายคนมักจะคิดว่าพวกเขารวยได้เพราะรายได้ที่สูง หรือค่าตัวมหาศาลจากการทำงาน แต่ถ้าเจาะลึกจริง ๆ เคล็ดลับของเศรษฐีจำนวนมากไม่ได้อยู่แค่การมีรายได้ แต่คือการเปลี่ยนรายได้ไปสู่การสร้าง “Asset” หรือสินทรัพย์ที่เติบโตได้ และจะสร้างเงินให้ได้ต่อเนื่อง
เพราะรายได้เพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ใครร่ำรวยยั่งยืนได้ นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม คนดังที่ประสบความสำเร็จไม่ได้แค่ “ดัง” แต่เพราะสามารถ “สร้างระบบ” ที่ทำให้ชื่อเสียงนั้นงอกเงย สร้างรายได้ที่ไม่จำกัดด้วยเวลา หรือร่างกาย และกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตได้แม้เจ้าของไม่ทำงานเองตลอดเวลา
และนี่คือแนวคิดที่เรียกว่า “Asset Building” ผ่านการสร้างตัวตนและสร้างแบรนด์ ที่ไม่ใช่แค่ดารา นักร้อง หรือคนดังเท่านั้นที่จะทำได้ แต่คนทั่วไปอย่างเรา ๆ หรือเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ ก็สามารถใช้แนวคิดนี้สร้างความมั่งคั่งได้เช่นกัน
“Asset Building” คือกระบวนการสร้าง สะสม และขยายสินทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets) เช่น หุ้น กองทุน ตราสารหนี้ สินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Assets) เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ งานศิลปะ หรือแม้แต่สินทรัพย์ที่มองไม่เห็น (Intangible Assets) เช่น แบรนด์ส่วนตัว ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ
หลายคนยังสับสนระหว่างรายได้ (Income) และสินทรัพย์ (Assets) นั้นแตกต่างกัน โดยรายได้คือเงินที่ได้รับจากการทำงานหรือธุรกิจ เช่น เงินเดือน โบนัส รายได้จากการขายสินค้า ส่วนสินทรัพย์คือสิ่งที่สามารถสร้างรายได้หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น หุ้น บ้านให้เช่า ธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของ
คนรวยหรือคนดังทั่วโลกเข้าใจดีว่าความมั่งคั่งจริง ๆ ไม่ได้มาจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเปลี่ยนรายได้ให้เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง โดยหลักการใหญ่ ๆ ของ Asset Building มีอยู่ 3 ข้อ ได้แก่
นอกจากนี้ คนรวยมักจะมีหลักคิด Asset Building สร้างความมั่งคั่งต่อยอดจากสิ่งที่มี
การสร้างแบรนด์ของ Rihanna เริ่มต้นมาจากความชอบด้านแฟชั่น และมีฐานแฟนคลับที่พร้อมจะซัพพอร์ต บวกกับการสร้างตัวตนของแบรนด์ที่แข็งแรง จนทำให้ยอดขายถล่มทลายตั้งแต่เปิดตัว จนปัจจุบัน รายได้ของ Rihanna กว่า 90% ไม่ได้มาจากการขายเพลงหรืองานแสดง แต่มาจากการถือหุ้นใน Fenty Beauty และ Savage X Fenty โดยเฉพาะ Fenty Beauty ที่มีการประเมินมูลค่าสูงถึง 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อ่านเพิ่มเติม: Rihanna ขายเครื่องสำอางยังไงให้รวยพอ ๆ กับเศรษฐีบริษัทเทคฯ ทำเงินเทียบชั้นกับ Silicon Valley
และหากจะพูดถึงคนดังที่สร้างตัวตนมาจากศูนย์ ก็คือ MrBeast หรือ Jimmy Donaldson ยูทูบเบอร์ชื่อดังที่แม้จะทำรายได้มหาศาลจากงานคอนเทนต์ แต่ก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังปั้นแบรนด์ต่อยอดรายได้ไปสู่ Feastables บริษัทขนม MrBeast Burgers เครือข่ายร้านอาหารเสมือนจริงที่มีสาขาทั่วโลก และ Beast Philanthropy มูลนิธิการกุศล
หรือแม้กระทั่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอย่าง Donald Trump ที่ก่อนจะมารับตำแหน่ง เขาปั้นตัวเองจนคำว่า “Trump” กลายเป็นหนึ่งชื่อที่มีอิทธิพลอย่างมากในสหรัฐอเมริกา แนวคิดของ Trump ในการปั้นแบรนด์คือ การพาชื่อนี้ไปอยู่ทุกที่ ทำทุกผลิตภัณฑ์ให้เป็นชื่อตัวเอง ตั้งแต่โรงแรมหรูและสนามกอล์ฟ ไปจนถึงสินค้าผู้บริโภค เช่น สเต็กแบรนด์ Trump, ไวน์ Trump, น้ำดื่ม Trump, ขายสินค้าหลากหลายบน Trump Store และแม้แต่อุตสาหกรรมการบินที่ปัจจุบันเลิกกิจการแล้วอย่าง Trump Shuttle
อ่านเพิ่มเติม: ก่อนมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์" รวยจากอะไร? เส้นทางมหาเศรษฐีที่ขายได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง
ตามที่กล่าวมานี้ Asset Building ผ่านการสร้างแบรนด์ คือการเปลี่ยนชื่อเสียง ความเชี่ยวชาญ หรือเอกลักษณ์ของเราให้เป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว เพราะแบรนด์ไม่ใช่แค่โลโก้หรือชื่อ แต่คือ การรับรู้ (Perception) ที่ผู้คนมีต่อเรา เมื่อนำการรับรู้นั้นมาต่อยอดอย่างถูกต้อง สิ่งนั้นจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ทรงพลังใน 3 มิติ ได้แก่
คำถามสำคัญ คือ คนธรรมดาอย่างเราจะสร้าง Asset Building ผ่านแบรนด์ได้อย่างไร?
แม้เราอาจไม่ใช่ดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ระดับโลก แต่แนวคิดการสร้าง “แบรนด์ส่วนตัว” ให้กลายเป็นสินทรัพย์นั้น สามารถปรับใช้กับคนทั่วไปได้เช่นกัน เพราะทุกคนล้วนมีทักษะ ประสบการณ์ และเรื่องราวที่สามารถนำมาต่อยอดให้กลายเป็นคุณค่าในสายตาของผู้อื่นได้ และยิ่งมีโลกออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ช่องทางเหล่านี้คือสิ่งที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างตัวตนได้
สำหรับคนทำงานประจำ การสร้างแบรนด์ส่วนตัวอาจเริ่มจากการแสดงความเชี่ยวชาญในสายงาน เช่น พนักงานสายการตลาดที่เขียนบทความ แชร์มุมมอง หรืออัปเดตเทรนด์อุตสาหกรรมบน LinkedIn อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำต่อเนื่องไป ความน่าเชื่อถือก็จะถูกสะสมจนกลายเป็น “ชื่อเสียงทางวิชาชีพ” ซึ่งไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้งานใหม่ที่ค่าตอบแทนสูงขึ้น แต่ยังอาจนำไปสู่โอกาสอื่น ๆ เช่น การถูกเชิญเป็นวิทยากร หรือการได้ร่วมงานกับองค์กรใหญ่ที่มองเห็นคุณค่าในตัวเรา
ในฝั่งฟรีแลนซ์หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ การสร้างแบรนด์ส่วนตัวก็คือการโชว์ตัวตนผ่านผลงานอย่างชัดเจน เช่น นักวาดที่อัปโหลดงานศิลป์ลง Instagram อย่างต่อเนื่อง หรือช่างภาพที่ใช้ Facebook เล่าเบื้องหลังการทำงานพร้อมโชว์พอร์ตโฟลิโอ เมื่อเวลาผ่านไปแบรนด์ส่วนตัวจะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าที่เชื่อมั่นในสไตล์และคุณภาพงาน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้สามารถตั้งราคาสูงขึ้น แต่ยังเปิดทางให้ต่อยอดไปสู่การขายสินค้าดิจิทัล เช่น Preset, Template หรือแม้แต่คอร์สออนไลน์ที่สร้างรายได้แบบไม่ต้องแลกเวลากับเงินโดยตรง
ส่วนเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ แบรนด์ส่วนตัวสามารถกลายเป็นจุดแข็งที่เหนือกว่าสินค้าเสียอีก ลองนึกภาพร้านกาแฟที่เจ้าของร้านคอยเล่าเรื่องราว แพชชั่นในการทำกาแฟลง TikTok หรือ YouTube ลูกค้าที่เข้ามาซื้อกาแฟไม่ได้ต้องการแค่เครื่องดื่ม แต่ซื้อเพราะรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวตนของคนขาย เมื่อแบรนด์ส่วนตัวถูกเชื่อมกับธุรกิจในลักษณะนี้ ความสัมพันธ์กับลูกค้าจะเหนียวแน่นยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจมีโอกาสยืนระยะได้ยาวกว่าคู่แข่งที่ขายเพียง “สินค้า” โดยไม่มีเรื่องราวหรือคุณค่าเพิ่มเข้ามา
ทั้งหมดนี้คือการทำ Asset Building แบบทีละก้าว ผ่านการลงทุนสร้างชื่อเสียง สร้างความเชื่อมั่น และสร้างตัวตนในแบบที่คนอื่นจดจำได้ แบรนด์ส่วนตัวจึงไม่ใช่เรื่องของคนดังเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสินทรัพย์ที่ใคร ๆ ก็สร้างได้ หากเรามีความต่อเนื่องและชัดเจนในสิ่งที่อยากให้โลกจำเราในแบบที่เราอยากให้เป็น
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney