ปีเตอร์ ธีล “Kingmaker” ตัวจริง มหาเศรษฐีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จบริษัทเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

Personal Finance

Wealth Management

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปีเตอร์ ธีล “Kingmaker” ตัวจริง มหาเศรษฐีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จบริษัทเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

Date Time: 8 ก.ย. 2568 12:45 น.

Video

เบื้องหลังการลงทุนคริปโตของ นาโอมิ นิชิยาม่า เริ่มต้นเพราะใครกันนะ? l Money Secret EP.5

Summary

Peter Thiel คือมหาเศรษฐีผู้ลึกลับ นักลงทุนผู้ทรงอิทธิพล เจ้าของหนังสือ Zero to One หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทั้งบิ๊กเทค และสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมหลายราย จนได้ชื่อว่าเป็น “Kingmaker” หรือ “ผู้สร้างราชา” ผู้ผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างคนดังในซิลิคอนวัลเลย์

Latest


เมื่อพูดถึงโลกเทคโนโลยี บุคคลสำคัญในวงการนี้หลายคนคงนึกถึงชื่ออย่าง Steve Jobs หรือถ้าในปัจจุบันก็จะมี Mark Zuckerberg ไม่ก็ Elon Musk แต่ยังมีอีกหนึ่งคนที่นับได้ว่าสำคัญอย่างมากในวงการนี้ นั่นก็คือ “Peter Thiel”

Peter Thiel คือมหาเศรษฐีผู้ลึกลับ นักลงทุนผู้ทรงอิทธิพล เจ้าของหนังสือ Zero to One หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทั้งบิ๊กเทค และสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมหลายราย จนได้ชื่อว่าเป็น “Kingmaker” หรือ “ผู้สร้างราชา” ผู้ผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างคนดังในซิลิคอนวัลเลย์

ความน่าสนใจของ Peter Thiel คือมุมมองและแนวคิดที่แตกต่างจากแนวคิดของคนสร้างธุรกิจส่วนใหญ่ และนับว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันมีความมั่งคั่งสุทธิกว่า 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทั้งหมดนี้มาจากทั้งการสร้างธุรกิจของตัวเอง อย่าง PayPal และ Palantir ความโชคดีที่ลงทุนใน Facebook ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ตลอดจนวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมในการเลือกลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ในเวลาต่อมา

ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปเจาะลึกทั้งเส้นทาง และแนวคิดของ Peter Thiel มหาเศรษฐีที่ผันตัวจากนักกฎหมาย มาเป็นนักธุรกิจและนักลงทุน กลายเป็นหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงหลายธุรกิจสำคัญของโลกให้เติบโต


โตมากับกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด

Peter Andreas Thiel หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Peter Thiel (ปีเตอร์ ธีล) เกิดในปี 1967 ในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี และย้ายมาที่สหรัฐอเมริกาตอนอายุได้เพียง 1 ขวบ โดยคุณพ่อ Klaus Thiel ที่มีอาชีพเป็นวิศวกรเคมีทำงานในเหมือง ทำให้ครอบครัว Thiel ต้องย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เด็กชาย Peter Thiel ต้องพบเจอกับระบบสังคมที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง

และก่อนที่ครอบครัว Thiel จะลงหลักปักฐานในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาในปี 1977 ครอบครัวนี้เคยอาศัยอยู่ที่แอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ (ปัจจุบันคือประเทศนามิเบีย) ด้วยเช่นกัน ซึ่งที่นี่ Peter Thiel ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประถมที่บังคับใช้ภาษาเยอรมัน และมีกฎระเบียบเคร่งครัด ทั้งบังคับให้ใส่เครื่องแบบ ตลอดจนมีการลงโทษทางร่างกาย อย่างเช่น การตีมือด้วยไม้บรรทัดเมื่อทำผิด

จากการที่ช่วงหนึ่งของชีวิตต้องเติบโตมาในสังคมที่เคร่งครัด และการย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ถึงเจ็ดครั้งทำให้ Peter Thiel เกิดการตั้งคำถามกับการถูกควบคุม และไม่ชอบใน Uniformity หรือความเหมือนกันหรือเป็นแบบเดียวกัน จนกลายเป็นที่มาของการสนับสนุนปัจเจกชนนิยมและแนวคิดเสรีนิยม

นอกจากนี้ Thiel เขายังมีความสามารถในการเล่นหมากรุก จนถึงขั้นได้รับตำแหน่งมาสเตอร์และอยู่ในอันดับที่ 7 ของประเทศในรุ่นอายุต่ำกว่า 13 ปี เก่งคณิตศาสตร์ ถนัดด้านตรรกะ และยังชื่นชอบศึกษาวรรณกรรมเชิงอุดมการณ์ (Ideological Literature) จนทำให้เขาชื่นชมในแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์และการมองโลกในแง่ดี และสนับสนุนหลักการปัจเจกชนนิยมและตลาดเสรีอีกด้วย

Peter Thiel สะสมความรู้และความสามารถมาต่อเนื่องจนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญาในปี 1989 และต่อด้วยนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตจากคณะนิติศาสตร์ของ Stanford University ในปี 1992


ยึดมั่นแนวคิด “เสรีนิยม”

ในช่วงที่เรียนอยู่ที่ Stanford นี้เขานำอุดมการณ์ต่อต้านการถูกบังคับมาใช้และแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการก่อตั้ง The Stanford Review หนังสือพิมพ์นักศึกษาแนวอนุรักษนิยม-เสรีนิยม กำหนดจุดยืนของตัวเองในฐานะผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมกระแสหลักของมหาวิทยาลัย และยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้นักศึกษามาถกเถียง จนเขาสามารถสร้างเครือข่ายไปรู้จักกับ David Sacks ที่ต่อมาได้มาร่วมสร้าง PayPal ด้วยกัน

หลังจบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ Peter Thiel ก็ได้เข้าทำงานในหลายหน้าที่ ทั้งเป็นเสมียนกฎหมาย (Clerk) ให้กับผู้พิพากษา James Larry Edmondson ในศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 11 จากนั้นก็ไปทำงานเป็นทนายความด้านหลักทรัพย์ที่บริษัทกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์ก อย่าง Sullivan & Cromwell แต่ก็ตัดสินใจลาออกภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ต่อมาก็เข้าทำงานเป็นเทรดเดอร์ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives Trader) ที่ Credit Suisse และยังเคยทำหน้าที่เขียนสุนทรพจน์ให้กับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อย่าง William Bennett อีกด้วย

แม้ว่าหน้าที่การงานที่ผ่านมาจะดีมากมาตลอด แต่ในสายตาของ Peter Thiel เองแล้วกลับยังไม่พึงพอใจ เพราะการที่ได้สัมผัสยอดพีระมิดของทั้งวงการกฎหมาย การเงิน และการเมืองอเมริกันในระยะเวลาอันสั้นนี้ กลับทำให้เขายิ่งเชื่อว่า สถาบันเหล่านี้มีปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ได้เป็นเครื่องจักรให้เกิดความก้าวหน้า แต่กลับเป็นเพียงสนามที่ผู้คนมาต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งและเกียรติยศมากกว่าจะสร้างคุณค่าใหม่ ๆ

เลยทำให้ Thiel ตัดสินกลับไปแคลิฟอร์เนีย พร้อมความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมว่าจะต้องสร้างเส้นทางที่แตกต่างออกไปด้วยพลังแห่งเทคโนโลยี


ต้นกำเนิด PayPal

เมื่อกลับมาที่ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนียในปี 1996 ทาง Peter Thiel ก็ได้เริ่มลงมือก่อตั้ง Thiel Capital Management ผ่านการระดมทุนจากเพื่อนและครอบครัวรวมได้ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเริ่มต้นเส้นทางในโลกของ VC (Venture Capital)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1998 เมื่อเขาร่วมก่อตั้งบริษัท Confinity ร่วมกับ Max Levchin และ Luke Nosek โดยตอนแรกบริษัทมุ่งพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์พกพาอย่าง PalmPilot แต่ต่อมาได้ปรับทิศทางนำเทคโนโลยีกระเป๋าเงินดิจิทัลไปใช้เป็นระบบชำระเงินออนไลน์ จนได้เปิดตัวในปี 1999 ภายใต้ชื่อ “PayPal”

วิสัยทัศน์ของ Peter Thiel ต่อ PayPal ไม่ใช่แค่การปั้นให้เป็นเครื่องมือชำระเงินที่สะดวก แต่อยากสร้าง “สกุลเงินของโลกการเงินแบบใหม่” ที่สามารถจะปลดปล่อยผู้คน และทำให้เงินไม่ต้องสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อซึ่งถูกสร้างโดยนโยบายการเงินของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของ PayPal ต้องแข่งขันอย่างดุเดือดในตลาด โดยเฉพาะกับ X.com บริษัทการเงินออนไลน์ที่ก่อตั้งโดย Elon Musk เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้ eBay จนกลายเป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุดในซิลิคอนวัลเลย์

แต่ต่อมาการแข่งขันนี้ก็ได้สิ้นสุดลงด้วยการควบรวมกิจการระหว่าง Confinity และ X.com ในเดือนมีนาคม 2000 โดย Peter Thiel เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน จากนั้นได้รีแบรนด์เป็น PayPal ในปี 2001 และเข้าตลาดหลักทรัพย์ในกุมภาพันธ์ ปี 2002

แต่ชีวิตในฐานะบริษัทมหาชนของ PayPal นั้นสั้นมาก เพราะเพียงไม่กี่เดือนหลัง IPO ก็ถูก eBay เข้าซื้อมูลค่าราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Peter Thiel ที่ได้ถือหุ้นอยู่ด้วยนั้น ก็ได้รับเงินจากการขายกิจการมาราว 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การขายกิจการครั้งนี้ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมหาศาล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการก่อกำเนิดของกลุ่ม “PayPal Mafia” เครือข่ายพนักงานและผู้ก่อตั้งยุคแรก ๆ อย่างเช่น Reid Hoffman, David Sacks และ Jeremy Stoppelman ที่ต่อมาได้สร้างหรือสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จำนวนมาก อาทิ LinkedIn, Yelp, YouTube และ SpaceX โดยมี Thiel อยู่ตรงกลางในฐานะนักลงทุนและที่ปรึกษา


มั่งคั่งเพราะ Facebook

ด้วยทุนและเครือข่ายที่ได้จาก PayPal ทำให้ Peter Thiel มีโอกาสและคว้ามันเอาไว้ โดยในปี 2004 เมื่อเขาได้รู้จักกับ Mark Zuckerberg นักศึกษาฮาร์วาร์ดผู้สร้างเว็บไซต์โซเชียลมีเดียชื่อ Thefacebook และแพลตฟอร์มนี้ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่นักศึกษา

จนในเดือนสิงหาคม ปี 2004 นั้น Peter Thiel ได้ตัดสินใจเข้าลงทุน และกลายเป็นนักลงทุนภายนอกรายแรกของ Facebook โดยมีการทุ่มเงินทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกกับหุ้น 10.2% ในตอนนั้นและมีที่นั่งในบอร์ดบริหารไปพร้อม ๆ กัน

โดยมูลค่าบริษัทของ Facebook ในตอนนั้นยังต่ำกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินทุนก้อนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ Zuckerberg สามารถขยายโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทโดยไม่ต้องรีบหารายได้ก่อนเวลาอันควร

จนท้ายที่สุดแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งนั้นเรียกได้ว่ามหาศาล และกลายเป็นหนึ่งในดีลเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจาก Facebook เติบโตจนเป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลก มูลค่าหุ้นของ Peter Thiel เลยพุ่งขึ้นมาอย่างมหาศาล และยิ่งบริษัทเข้า IPO ทาง Thiel เลยทยอยขายหุ้นออกจนสามารถทำเงินได้รวมกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 200,000% จากเงินลงทุนเพียงครึ่งล้านดอลลาร์

แต่ทั้งนี้ Thiel ยังเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่มีกลยุทธ์ทางการเงินที่หลักแหลม เพราะว่าการลงทุน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐนี้ใน Facebook ไม่ได้มาจากเงินลงทุนปกติหลังหักภาษี แต่เข้าใช้เงินจากบัญชี Roth IRA หรือบัญชีเพื่อการเกษียณอายุส่วนบุคคลที่เขาสามารถบริหารจัดการเองได้ และยังเป็นบัญชีที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแบบปลอดภาษี (Tax-Free Growth)

โดยเงินที่อยู่ในบัญชีนี้ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1999 ที่เขาได้ซื้อหุ้น PayPal รุ่นแรกจำนวน 1.7 ล้านหุ้น ด้วยเงินทุนเพียง 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อ eBay ซื้อ PayPal หุ้นก้อนนั้นก็พุ่งขึ้นเป็นมูลค่าราว 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในบัญชี Roth IRA แบบปลอดภาษี ก็เท่ากับว่า Thiel ได้รับเงินเต็มจำนวนแบบไม่หักอะไรสักอย่าง จากนั้นเขาก็ใช้ส่วนเล็ก ๆ ของเงินทุนในบัญชีนี้ไปลงทุนใน Facebook ส่งผลให้ทำกำไรได้หลักพันล้านดอลลาร์อีกด้วย


อาณาจักร Peter Thiel

หลังจากรับทรัพย์มาเป็นหลักพันล้านแล้ว Peter Thiel ก็ได้เดินหน้าเต็มกำลัง เพื่อสร้างความมั่งคั่งเพิ่มเติม และเพื่อขยายอำนาจและเผยแพร่อุดมการณ์เฉพาะตัวของเขาออกไปอีกด้วย


Palantir Technologies

Palantir ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดยมี Thiel เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร และยังมอบเงินทุนจากเงินส่วนตัวก้อนแรก 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภารกิจหลักของ Palantir คือการนำหลักการตรวจจับการฉ้อโกงที่พัฒนาจาก PayPal มาประยุกต์ใช้กับข้อมูลที่ซับซ้อนในแวดวงความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย



โมเดลธุรกิจของ Palantir คือการสร้างแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เช่น Gotham และ Foundry เพื่อช่วยองค์กรขนาดใหญ่ในการบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลที่กระจัดกระจาย เพื่อค้นหารูปแบบและความเชื่อมโยงที่ซ่อนอยู่ และธุรกิจนี้ยังมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย


Founders Fund

Founders Fund เรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรที่ใช้สร้างอนาคต กองทุนนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 โดย Thiel เองและอดีตเพื่อนร่วมงานจาก PayPal คือ Ken Howery และ Luke Nosek โดย Founders Fund เป็นกองทุน VC ที่เน้นการลงทุนแบบสวนกระแส ตามแนวคิดของ Thiel ที่มีมาอย่างชัดเจนและยาวนาน

จากข้อมูลพบว่าในปี 2022 กองทุนนี้มีเงินทุนไหลเวียนอยู่ราว 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีพันธกิจชัดเจนในการลงทุน คือมุ่งไปที่บริษัทที่จะเข้ามาแก้ปัญหายาก ๆ ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงโลก

Founders Fund ยังก่อตั้งขึ้นมาตามความเชื่อของ Thiel ที่เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยจะไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้น Founders Fund จึงเจาะหาบริษัทที่กล้ารับความเสี่ยงสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ใหญ่โตเท่านั้น โดยบริษัทที่เข้าไปลงทุนอย่างเช่น SpaceX, Neuralink, Airbnb ตลอดจน Anduril ผู้พัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ


Thiel Fellowship

โครงการสำคัญที่สร้างคนมานักต่อนัก โดย Thiel Fellowship ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 เป็นโปรแกรมที่จะมอบเงินทุนราว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับนักศึกษาหรือคนที่สนใจเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งผู้ที่สนใจจะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาสร้างธุรกิจใหม่ ๆ อีกทั้งโครงการนี้นอกจากจะสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้มีเน็ตเวิร์ค สร้างเครือข่าย และยังสามารถเข้าถึงทีมวิจัยในโครงการได้อีกด้วย


หนังสือ Zero to One

ในปี 2014 ทาง Peter Thiel ได้ร่วมกับ Blake Masters อดีตนักศึกษาที่ Stanford ตีพิมพ์หนังสือ Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future โดยหนังสือเล่มนี้มีต้นกำเนิดจากคอร์สที่ Thiel เคยสอน และยังเป็นแถลงการณ์ของ Thiel เองในด้านปรัชญา ที่สรุปหลักความเชื่อสำคัญ และทำหน้าที่เป็นคู่มือการบริหารทั้งอาณาจักรอีกด้วย


นอกจากนี้ Peter Thiel ยังเป็นอีกหนึ่งเศรษฐีของซิลิคอนวัลเลย์ที่ให้การสนับสนุนทางการเมืองกับโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกัน โดยที่เขาเริ่มต้นสนับสนุนมาตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งแรก เพราะเขาเชื่อว่าการเมืองยุคใหม่นี้จะเป็นสะพานเชื่อมโลกของเทคโนโลยีกับชาตินิยมและประชานิยมที่กำลังเติบโตได้



ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney 



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ