
ในงาน GITEX Global 2025 ที่ดูไบ (13–17 ตุลาคม 2025) สะท้อนให้เห็นว่า UAE มอง AI คืออำนาจอธิปไตยแห่งอนาคต และประเทศต้องปกป้องและลงทุนในเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง โดยงานซึ่งรวบรวมผู้จัดแสดงกว่า 6,800 ราย สตาร์ทอัพ 2,000 แห่งจาก 180 ประเทศ นักลงทุน 1,200 รายที่มีสินทรัพย์รวม 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และยูนิคอร์นกว่า 40 แห่ง แสดงให้เห็นบทบาทของ UAE ในเวทีเทคโนโลยีโลก
ในโลกที่ AI กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญของการแข่งขันระหว่างประเทศ เชื่อว่าหนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายชาติกำลังเผชิญอยู่ คือ จะใช้ AI สร้างความได้เปรียบให้ประเทศได้อย่างไร? แต่สำหรับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กลับมองในมุมที่ลึกกว่านั้น คือ "AI คืออำนาจอธิปไตยแห่งอนาคต และเราจะปกป้องมันได้อย่างไร?"
ท่ามกลางความคึกคักของงาน GITEX Global 2025 ที่ Dubai World Trade Center สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีและ AI ที่ใหญ่ที่สุดของโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-17 ตุลาคม 2025 โดยจัดเป็นครั้งที่ 45 รวบรวมผู้จัดแสดงกว่า 6,800 ราย สตาร์ทอัพ 2,000 แห่งจาก 180 ประเทศ พร้อมกับนักลงทุน 1,200 รายที่มีสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยูนิคอร์นมากกว่า 40 บริษัท ซึ่งผู้สื่อข่าว Thairath Money เข้าร่วมงานดังกล่าวเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ในครั้งนี้ ท่ามกลางหุ่นยนต์เหมือนคน (humanoid) ที่ออกมาเต้นโชว์ คอนแทคเลนส์อัจฉริยะที่วัดระดับกลูโคสได้ หรืออุปกรณ์ฝังสมอง - คอมพิวเตอร์ที่ถอดรหัสสัญญาณประสาท สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดกลับเป็นแนวคิดที่ Abdulla bin Touq Al Marri รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กล่าวบนเวทีหลักของงาน GITEX Global 2025 ซึ่งสะท้อนให้เห็นมุมมองที่แตกต่างในการมองเรื่อง AI
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงการเปลี่ยนแปลงของ UAE เชื่อว่าหลายคนเห็นถึงความก้าวหน้า จนสามารถขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลระดับโลกได้ ในด้านการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการกระจายความเสี่ยง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 ภาคน้ำมันเคยครองสัดส่วนถึง 85% ของเศรษฐกิจ มาวันนี้กลับพลิกมาเป็นภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน ซึ่งครอบคลุมถึงการเงิน, การผลิต, และเทคโนโลยี ที่มีสัดส่วนคิดเป็น 77.3% ของ GDP และในขณะเดียวกันหากมองลึกลงไป จะเห็นได้ว่ามีสัดส่วนของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สนับสนุนการเติบโตของ GDP อยู่ถึง 12% เลยทีเดียว และ UAE มีเป้าหมายอย่างแน่วแน่ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะต้องผลักดันเศรษฐกิจภาคที่ไม่ใช่น้ำมันให้มีสัดส่วนสูงถึง 80% ของ GDP
รัฐมนตรี Al Marri กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ โดยเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม 2020 ท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ในช่วงเวลานั้นมีความท้าทายเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
"ผมจำได้ว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทุกปีที่ผมขึ้นเวที GITEX สปีชของผมต่างกันทุกครั้ง เพราะเศรษฐกิจเผชิญกับสิ่งใหม่ตลอดเวลา เริ่มต้นในปี 2020 ด้วยการรับมือกับ COVID-19 และพยายามเปิดเศรษฐกิจใหม่และสร้างเสถียรภาพ ตามมาด้วยเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว หลังจากนั้นก็เผชิญกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามในหลายภูมิภาค"
ทั้งนี้เขายังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจ UAE ทุกวันนี้มีความคล่องตัวสูง ท่ามกลางความท้าทายระดับโลก "เราอยู่ใจกลางของโลกที่ทั้งตะวันออกพบกับตะวันตก เราเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น และด้วยความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เราใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในสภาพแวดล้อมและปรับตัวตาม" โดยการปรับตัวในที่นี้รวมถึงการเปลี่ยนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับถึง 40 ฉบับ และได้มีการผนวกปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าไปในกฎหมายเหล่านั้นด้วย ซึ่งการทำแบบนี้คือ วิธีที่ UAE พัฒนากฎระเบียบให้ล้ำสมัยมากพอเพื่อรองรับเทคโนโลยีอนาคต
ความสำเร็จของ UAE ไม่ได้มาจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง จากการเดินทางไปดูไบ และเข้าร่วมงาน GITEX 2025 ในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าว Thairath Money สรุป 3 Key Learning ที่ประเทศไทยและชาติอื่นๆ สามารถนำไปเป็นบทเรียนได้
จากที่ได้เห็นในงาน GITEX Global 2025 ในหลายๆ ส่วน สามารถสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และการลงมือทำอย่างมีแบบแผน โดยสิ่งที่ทำให้แนวทางของ UAE แตกต่างจากประเทศอื่นคือ มุมมองที่มองว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็น "เรื่องของอธิปไตยชาติ" ในระดับเดียวกับกองทัพหรือระบบป้องกันประเทศ
รัฐมนตรี Al Marri กล่าวชัดเจนว่า "เหมือนกับที่คุณใช้งบประมาณกับกองทัพ กับระบบป้องกันไซเบอร์ คุณต้องใช้งบประมาณกับ AI ด้วย เพราะ AI คืออธิปไตยสำหรับทุกชาติ"
จากมุมมองดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่า ถ้าประเทศใดก็ตามมอง AI เป็นเรื่องของอธิปไตย การแข่งขันจะไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่กลับเป็นการแข่งภายในตัวเอง กล่าวคือ โครงสร้างพื้นฐานพร้อมแค่ไหน บุคลากรได้รับการพัฒนาอย่างไร กลยุทธ์สอดคล้องกันหรือไม่ และระบบนิเวศเติบโตขนาดไหน
UAE เป็นประเทศที่ขยับในเรื่อง AI อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2016-2017 เมื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีด้าน AI เป็นประเทศแรกของโลก
"UAE คิดล่วงหน้าในเรื่อง AI และเริ่มมองจากมุมมองระดับโลก แม้แต่ตอนนั้นในปี 2018 เมื่อพยายามจัดตั้งสภาจริยธรรม AI ไม่มีใครเข้าร่วมเลย ไม่มีใครเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงอะไร" รัฐมนตรี Al Marri กล่าว
"เราไม่ได้แข่งกับประเทศอื่น เราแข่งกับตัวเอง" รัฐมนตรี Al Marri ย้ำแนวคิดนี้หลายครั้งบนเวที และเมื่อลงลึกถึงความหมายของ "การแข่งกับตัวเอง" พบว่าหมายถึงการพัฒนาความพร้อมใน 4 มิติหลักที่ต้องทำควบคู่กันไป
โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม (Infrastructure Readiness)
ไม่ใช่แค่สร้าง data centers แต่ต้องคำนึงถึงพลังงานสะอาดและความยั่งยืน "เราต้องคิดถึงพลังงานที่จะผลิต คิดถึง climate change" เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างการผลักดันเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) 5% สำหรับสายการบินในโลกอาหรับ
การพัฒนาคนและความคิด (Mindset Transformation)
จากประสบการณ์ดูแลโครงการพัฒนาผู้นำของรัฐบาล UAE เขาชี้ว่า ผู้นำยุคใหม่ต้องเปลี่ยนจาก problem solver เป็น solution-focused เพราะ "AI แก้ปัญหาได้แล้ว แต่การคิดแบบสร้างทางออกคือสิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง" รัฐมนตรียังสรุปทักษะสำคัญของผู้นำไว้สองอย่าง คือ มองอนาคตอย่างมีวิสัยทัศน์ (future-focused) และคิดหาทางออกใหม่ๆ แทนการแก้ปัญหาแบบเดิม (solution-focused)
กฎหมายที่คล่องตัว (Agile Regulations)
UAE ปรับปรุงกฎหมายกว่า 40 ฉบับเพื่อรองรับเทคโนโลยีอนาคต "เราไม่ได้แค่เพิ่มคำว่า 'AI' แต่ปรับโครงสร้างทั้งระบบ" เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่าง Commercial Transactions Law No.14 (2024) ที่ผนวก AI เข้าในบทบัญญัติหลายมาตรา
รัฐบาลที่ลงมือใช้จริง (Early Adopter Government)
คณะรัฐมนตรีกำหนดให้ทุกกระทรวงนำ AI มาใช้ และกำลังพัฒนา "AI in the Cabinet" เพื่อตรวจสอบบันทึกการประชุมโดยอัตโนมัติ กระทรวงเศรษฐกิจเองได้เปิดใช้ระบบตรวจสอบเครื่องหมายการค้าด้วย AI จากเดิมที่ต้องรอ 1-2 วัน เพียงอัปโหลดโลโก้ ระบบจะวิเคราะห์ความใกล้เคียงกับฐานข้อมูลภายในเสี้ยววินาที และอีกหนึ่งโครงการคือ National Economic Register ที่รวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจทั่วประเทศและใช้ AI วิเคราะห์เพื่อช่วยนักลงทุน เช่น แนะนำทำเลเหมาะสมในการเปิดโรงพยาบาลหรือโรงแรม เป็นต้น
ทั้ง 4 มิตินี้คือการ "แข่งกับตัวเอง" ที่แท้จริง การพัฒนาทุกด้านไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่วิสัยทัศน์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีคนที่จะมาขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นั้นให้เป็นจริง
"The oil for an economy is human beings"
รัฐมนตรี Al Marri กล่าวว่า "ถ้าคุณมีกลยุทธ์ที่สวยงาม แต่ไม่มีศักยภาพของทุนมนุษย์ (human capital) ที่เหมาะสมมาทำให้เกิดขึ้นจริง คุณจะไม่สามารถเติบโตได้" กล่าวคือ จะมีไอเดียที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่มีคนเก่งพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้น มันก็เป็นได้แค่ความฝัน
UAE ให้ความสำคัญกับเรื่องของการดึงดูดคนเก่งเข้าประเทศหนักมาก เพราะเขามองว่านี่เป็นการวาง "Human Capital Infrastructure" หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านทุนมนุษย์ ดังนั้น Golden Visa ที่เริ่มในปี 2018 และเร่งขยายอย่างรวดเร็วในปี 2020 จึงไม่ใช่แค่วีซ่าพิเศษสำหรับคนเก่ง แต่เป็นการวางระบบนิเวศที่ UAE ต้องการสร้างให้มีความครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ดังนี้:
1. Mohamed Bin Zayed University for AI (MBZUAI) มหาวิทยาลัยเฉพาะด้าน AI แห่งแรกของโลก ที่ไม่ได้แค่ผลิตบัณฑิต แต่สร้างนักวิจัยระดับปริญญาเอกและโท พร้อมทุนการศึกษาเต็มจำนวน "เรากำลังปลูกฝังวิธีคิดแบบใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่" รัฐมนตรี Al Marri อธิบาย
2. Innovation Hubs กับพันธมิตรระดับโลก ในงาน GITEX Global 2025 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Oracle, Microsoft, AWS, Google, IBM, Huawei ต่างประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ อัมร์ คาเมล ผู้จัดการทั่วไปของ Microsoft UAE ยืนยันว่า "UAE อยู่แถวหน้าของการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล การยอมรับ AI อย่างมีความรับผิดชอบไปจนถึงการส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลระดับโลกที่ดึงดูดความร่วมมือและการลงทุนระดับโลก"
3. Free Zones และ Data Centers การลงทุนใน G42 และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานสะอาด รัฐมนตรีเน้นว่า "เราต้องคิดถึงพลังงานที่จะใช้ คิดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ UAE เป็นเจ้าภาพ COP28 เมื่อ 2 ปีก่อน เราคิดล่วงหน้าเรื่องความยั่งยืนตั้งแต่มุมมอง AI และ data center"
ดังนั้นผลลัพธ์ของการวางระบบดังกล่าวคือ ทุกวันนี้ UAE มีบุคลากรด้าน AI มากเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ เท่านั้น และเมื่อมีทั้งวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและคนที่มีความสามารถ สิ่งสำคัญต่อมาคือการสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับโลกภายนอก
สำหรับ GITEX Global 2025 งานเทคโนโลยีและ AI ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ไม่ใช่แค่งานอีเวนท์จัดแสดงสินค้า นวัตกรรม แต่หากมองในเชิงมิติของประเทศแล้ว นี่คือ...แพลตฟอร์มเชื่อมโลก
รัฐมนตรี Al Marri กล่าวว่า "เราไม่เก่งในการสร้างกำแพง เราเก่งในการสร้างสะพาน UAE คือสะพานที่จะเชื่อมคุณ เราเชื่อมโลก ไม่มีประเทศอื่นในโลกที่จัด COP28 และ Expo ในระดับที่ UAE ทำได้และมี commitments ตามมา"
Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี UAE ผู้ปกครองดูไบ เคยกล่าวว่า "UAE คือ test lab สำหรับเทคโนโลยีอนาคต" และรัฐมนตรี Al Marri เสริมว่า "ถ้าคุณมีเทคโนโลยีที่อยากทดลอง พาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดคือ UAE เราคือผู้สร้างสะพานนั้น"
การวางตำแหน่งเป็นสะพานของ UAE สะท้อนจากความสำเร็จในอดีตที่ต่อยอดมาเป็นลำดับ ทั้ง DP World ที่ทำให้ UAE เป็น seaport ของโลก เชื่อมการค้าทางทะเล Emirates Airlines ที่ทำให้ UAE เป็น airport ของโลก เชื่อมการเดินทางทางอากาศ และตอนนี้ GITEX Global กำลังทำให้ UAE เป็น "brain port" ของโลก ที่เชื่อมสมองและไอเดีย
"เมื่อผมไปต่างประเทศพบรัฐมนตรีด้านการบิน ผมบอกเราต้องการเปิดสายการบินเพิ่ม ต้องการเชื่อมต่อมากขึ้น เพราะมนุษย์จะนำไอเดีย เทคโนโลยี และเงินทุนมาลงทุน ถ้าไม่มีการเชื่อมต่อ จะไม่มีสะพาน" รัฐมนตรี Al Marri กล่าว
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าจากสิ่งที่รัฐมนตรี Al Marri กล่าวมานั้น UAE เชื่อมโลกอย่างไร ในงาน GITEX Global 2025 ที่ผ่านมามีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) จำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นของโลกใน UAE โดยสามารถจัดกลุ่มการเชื่อมโยงได้ดังนี้ :
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า UAE ไม่ได้แค่สร้างงานเทคโนโลยี แต่กำลังสร้าง "สะพาน" ที่เชื่อมต่อคน เทคโนโลยี และทุน จากทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน
ในปี 2026 GITEX จะปรับโฉมการจัดงานเทคโนโลยีระดับโลก ย้ายไปจัดที่ Expo City Dubai ในรูปแบบ "GITEX TechCation" ครั้งแรกของโลก ระหว่างวันที่ 7-11 ธันวาคม 2026
TechCation จะเปลี่ยน GITEX จากห้องจัดแสดงเป็นการเปิดใช้งานทั่วเมือง ผสมผสานประสบการณ์แบบ immersive กับไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรม และฤดูกาลท่องเที่ยวของดูไบ ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการ networking ที่ยาวนานขึ้น ต้อนรับผู้บริหารและนักลงทุนนานาชาติให้ดื่มด่ำกับดูไบ ตั้งแต่อาหาร กีฬา สุขภาพ ศิลปะ วัฒนธรรม ไปจนถึงการผจญภัยกลางแจ้ง
งานเปิดวันที่ 7 ธันวาคมด้วย GITEX Scale Summit สำหรับผู้นำระดับโลก การเจรจาเชิงกลยุทธ์ระดับสูงเกี่ยวกับแนวโน้ม โอกาส และกรอบนโยบายที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ AI ระดับโลก ซึ่งต้องรอติดตามในปีหน้า
โดยสรุปแล้วจากสิ่งที่ได้เห็นในงาน GITEX Global 2025 ที่ดูไบ สะท้อนว่าการสร้างชาติด้วย AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ "mindset" การเปลี่ยนวิธีคิดของผู้นำและประชาชน รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อนวัตกรรม
ดังนั้นบทเรียนจาก UAE อาจเป็นกระจกสะท้อนให้ประเทศไทยและชาติอื่นๆ ได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรามองเห็น AI ในมุมไหน และพร้อมที่จะ "แข่งกับตัวเอง" เพื่อก้าวสู่อนาคตแค่ไหน?