
นครพนมกำลังถูกยกระดับเป็นเมืองรองดาวรุ่งของภาคอีสานเมื่อแพลตฟอร์มดิจิทัลและนวัตกรรมผสานกับทุนท้องถิ่น ทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ บริการ LINE MAN ครอบคลุมกว่า 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มกว่า 1 ล้านแห่งและไรเดอร์กว่า 300,000 คน โดย GMV ของภูมิภาคเติบโตเฉลี่ยกว่า 16% ต่อปี ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 11% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยประเทศที่ราว 12% ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือรายได้ไรเดอร์บางคนแตะ 3,500 บาทต่อวัน สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำภูมิภาคราว 7 เท่า และเมนูยอดนิยมคือส้มตำ–ไก่ย่าง–ข้าวเหนียว นอกจากนี้ โครงการรัฐอย่าง "คนละครึ่ง" ช่วยผลักดันยอดสั่งผ่านแพลตฟอร์มเพิ่มกว่า 90% ขณะที่ร้านค้ายังคงมียอดขายสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 เท่าหลังสิ้นโครงการ ผู้ประกอบการท้องถิ่นและ YEC ร่วมกับแพลตฟอร์มจัดอบรมทักษะดิจิทัลและวางแผนผลักดัน Wellness Tourism ริมโขง แต่ยังเผชิญปัญหาโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ ขาดแพทย์ และการดึงดูดนักลงทุน จึงเรียกร้องมาตรการสนับสนุนด้านการแพทย์ การลงทุนและการส่งเสริมบริการสปา-นวด
นครพนมกำลังกลายเป็นหนึ่งใน "เมืองรองดาวรุ่ง" ที่น่าจับตามากที่สุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาผนวกทุนและศักยภาพของท้องถิ่น สามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ได้ บนเวทีเสวนาหัวข้อ "นครพนม Next Chapter: พลิกเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล" ภายในกิจกรรม LINE MAN Wongnai Media FAM Trip จังหวัดนครพนม ได้รวบรวมผู้บริหารจากภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ที่สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็น "ตัวคูณ" ที่ช่วยขยายศักยภาพของทุนท้องถิ่นให้เติบโตได้เร็วขึ้น
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai เปิดเผยว่า บริการ LINE MAN ปัจจุบันครอบคลุมแล้วกว่า 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจังหวัดที่เติบโตสูงสุดคือ นครพนม อุดรธานี และขอนแก่น
ในปีที่ผ่านมา GMV (มูลค่าการสั่งซื้อรวม) ของภูมิภาคนี้เติบโตเฉลี่ยกว่า 16% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของทั้งประเทศที่ประมาณ 12% ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานใหม่ในพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 11% ต่อปี
"ภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่เรามองว่าเป็น 'ตลาดเกิดใหม่' ของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับการสั่งอาหารผ่านแอปมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในตัวเมืองใหญ่ แต่ขยายไปถึงอำเภอรอบนอก" อิสริยะกล่าว
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ไรเดอร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางพื้นที่ทำรายได้สูงสุดถึง 3,500 บาทต่อวัน ซึ่งรวมทั้งค่ารอบและโบนัสจูงใจ (Incentive) มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำในภูมิภาคที่อยู่ที่ราววันละ 480 บาท คิดเป็นมากกว่าถึง 7 เท่า สะท้อนบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับคนท้องถิ่น
ปัจจุบัน LINE MAN Wongnai มีร้านค้าทั่วประเทศกว่า 1 ล้านร้าน และมีไรเดอร์กว่า 300,000 คน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุด
เมนูยอดนิยมของคนอีสานยังคงเป็น "ส้มตำ–ไก่ย่าง–ข้าวเหนียว" ที่ครองอันดับหนึ่งในยอดสั่งทั่วภูมิภาค ขณะที่เครื่องดื่มอย่าง "มัทฉะ–อเมริกาโน่" ก็มาแรงไม่แพ้กัน สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภคในเมืองรอง
"เศรษฐกิจดิจิทัลจะไม่เกิดขึ้นแค่ในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในระดับจังหวัด และภาคอีสานคือตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้" อิสริยะกล่าว
LINE MAN Wongnai ยังเป็นแพลตฟอร์มที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินโครงการภาครัฐ เช่น "คนละครึ่ง" โดยร้านอาหารบนแพลตฟอร์มกว่า 75% เข้าร่วมโครงการ คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดในตลาดเดลิเวอรีไทย
ในช่วงที่มีโครงการคนละครึ่ง ยอดสั่งผ่าน LINE MAN เพิ่มขึ้นกว่า 90% และหลังจบเฟส 5 พบว่า กว่า 40% ของร้านค้ายังคงมียอดขายสูงขึ้นกว่าเดิม 1.5 เท่า สะท้อนผลลัพธ์เชิงบวกที่ยั่งยืน
"เราพบว่าหลังสิ้นสุดโครงการคนละครึ่ง ลูกค้ายังคงกลับมาซื้อซ้ำ เพราะคุ้นเคยกับระบบดิจิทัลและช่องทางสั่งเดลิเวอรี ร้านค้าในท้องถิ่นเองก็พัฒนาเมนูและบริการให้ตอบโจทย์มากขึ้น" อิสริยะกล่าว พร้อมย้ำว่า LINE MAN ตั้งใจจะทำงานร่วมกับภาครัฐในโครงการลักษณะนี้ต่อไป เพื่อช่วยยกระดับ "เศรษฐกิจดิจิทัลระดับจังหวัด" ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC (Young Entrepreneur Chamber of Commerce) นครพนม กล่าวถึงศักยภาพของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในพื้นที่ว่า การเข้ามาของแพลตฟอร์มเดลิเวอรีอย่าง LINE MAN ทำให้ร้านอาหารท้องถิ่นจำนวนมากสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งทำเลทองในเมืองอีกต่อไป
"ธุรกิจอาหารท้องถิ่นของนครพนมมีความหลากหลายมาก ทั้งอาหารเวียดนาม อาหารพื้นบ้าน และคาเฟ่ริมโขง แพลตฟอร์มเดลิเวอรีทำให้ร้านเล็ก ๆ เหล่านี้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากคนในจังหวัดใกล้เคียง เช่น สกลนคร มุกดาหาร หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่มาแล้วอยากสั่งกลับบ้าน" ชนนท์ กล่าว
ในขณะเดียวกัน กลุ่ม YEC ยังทำงานร่วมกับ LINE MAN เพื่อช่วยอบรมทักษะดิจิทัลและการตลาดออนไลน์ให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น การใช้ข้อมูลรีวิว การตั้งราคาที่เหมาะสม และการทำโปรโมชันร่วมกับเทศกาลท่องเที่ยวท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เกิด "ระบบนิเวศเศรษฐกิจท้องถิ่น" ที่คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
วิศรุต สร้อยคำ เจ้าของ Chewa Cafe By SK Sroikham หนึ่งในร้านที่ได้รับรางวัล "Users' Choice 2025" จาก Wongnai กล่าวว่า "รางวัลนี้ไม่ใช่แค่เครื่องการันตีคุณภาพ แต่เป็นแรงผลักดันให้ทีมพัฒนารสชาติและบริการให้ดียิ่งขึ้น เพราะลูกค้ามาจากรีวิวออนไลน์จริง ๆ"
เขาเสริมว่า หลังเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ยอดขายของร้านเพิ่มขึ้นกว่า 150% และยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้แม้โครงการจะสิ้นสุดลง เพราะลูกค้าจำนวนมากเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้เดลิเวอรีเป็นประจำ
"เรามองว่าคนรุ่นใหม่ในอีสานเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น พวกเขาอยากกินของดี ใกล้บ้าน แต่ได้ประสบการณ์เหมือนในเมืองใหญ่" วิศรุต กล่าว
ว่าที่ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวในเวทีเดียวกันว่า จังหวัดกำลังผลักดันแผนยุทธศาสตร์ 3-20 ปี โดยมุ่งเน้นใช้ข้อมูล (Data) และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
"นครพนมมีความพร้อมทั้งโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และศักยภาพด้านการท่องเที่ยวริมโขง การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐ เอกชน และแพลตฟอร์มดิจิทัลจะทำให้เรามองเห็นโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ได้ชัดขึ้น"
เขาระบุว่า จังหวัดเตรียมผลักดันโครงการ "Digital Local Economy Hub" เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและสร้างเครือข่ายธุรกิจออนไลน์ในอนาคต
จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจังหวัดนครพนม ทำให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เห็นศักยภาพในการผลักดัน Wellness Tourism โดยชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC นครพนม มองว่าจังหวัดมีความพร้อมด้านทรัพยากรธรรมชาติและความสงบ แต่ยังต้องเร่งแก้ไขปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์และการดึงดูดนักลงทุน เพื่อให้แผนระยะยาวนี้ประสบความสำเร็จ
ชนนท์ระบุว่า นครพนมมีจุดแข็งหลายด้านที่เอื้อต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็นแหล่งพักผ่อนที่แท้จริง:
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวได้เริ่มเติบโตขึ้นอย่างมากภายหลังจากที่มีองค์พญานาค โดยชนนท์ระบุว่านี่คือการพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแรง สังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบิน ซึ่งปัจจุบันมีวันละ 6 เที่ยวบิน ทำให้การเดินทางค่อนข้างสะดวกและตอบโจทย์นักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม การจะก้าวเป็น Wellness Hub ได้นั้น ชนนท์เน้นย้ำว่า เรื่องของ Health, Medical และ Hospital ต้องมีความพร้อม ซึ่งปัจจุบันนครพนมยังประสบปัญหาและมีความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่
ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เสนอขอให้รัฐบาลสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. สนับสนุนการแพทย์ เร่งสนับสนุนให้มีการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ เพื่อเพิ่มปริมาณแพทย์และบุคลากรที่มีคุณภาพ
2. มาตรการทางเศรษฐกิจ เนื่องจากนครพนมมีปริมาณคนค่อนข้างน้อย ทำให้นักลงทุนต้องคิดหนัก แม้ว่าจะมีปริมาณโรงแรมมาก แต่ก็เก็บเงินลูกค้าได้น้อย (1,000 กว่าบาทต่อคืน) ทั้งที่ราคาที่ดินสูง รัฐบาลจึงควรมีมาตรการเอื้อหรือสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนกล้ามาลงทุน
3. ส่งเสริมบริการ รัฐบาลควรส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Wellness เช่น นวด สปา หรือบริการอื่น ๆ ที่ทำให้นครพนมสามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แผนการพัฒนา Wellness Tourism ในนครพนมถือเป็นแผนระยะยาว ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ การลงทุน การก่อสร้าง และการเกิดหมู่บ้าน โดยจังหวัดมีความพร้อมด้านความสงบแล้ว แต่ยังขาดเรื่องคนและ Know-how หรือผู้ที่จะมาลงทุน ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ