ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวลดลงกว่า 7% จากราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ก่อนการรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ไตรมาส 2 ซึ่งนักวิเคราะห์จากวอลสตรีทคาดการณ์ว่า Tesla จะสามารถส่งมอบรถได้ราว 387,000 คัน ลดลงประมาณ 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีประเด็นที่ปะทะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับร่างกฎหมายด้านการใช้จ่ายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายตัวของมัสก์
ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวลดลงกว่า 7% จากราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ที่ราคา 323.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เหลือ 300.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ณ วันอังคารที่ผ่านมา ก่อนการรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ไตรมาส 2 ซึ่งนักวิเคราะห์จากวอลสตรีทคาดการณ์ว่า Tesla จะสามารถส่งมอบรถได้ราว 387,000 คัน ลดลงประมาณ 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 444,000 คัน ในขณะที่ตลาด Kalshi คาดการณ์ยอดส่งมอบต่ำกว่านั้นอีก เหลือเพียง 364,000 คัน
แม้ช่วงก่อนหน้านี้ราคาหุ้น Tesla จะปรับตัวขึ้นหลังจากบริษัทเริ่มให้บริการ Robotaxi ในบางพื้นที่ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยอีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla โวว่า เป็นการส่งมอบรถขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบไร้คนขับครั้งแรกแก่ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าว
แต่แล้วราคาหุ้นกลับดิ่งลงอีกครั้งหลังจากที่อีลอน มัสก์เปิดศึกกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill Act” ซึ่งเป็นร่างกฎหมายด้านการใช้จ่ายขนาดใหญ่ที่ทรัมป์สนับสนุน และกำลังเข้าสู่การลงมติครั้งสุดท้ายในสภาผู้แทนฯ
โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีรายได้สูงในสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ตัดงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือประชาชนอย่าง Medicaid และโครงการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมัสก์ไม่ได้คัดค้านต่อการตัดลดโครงการเหล่านั้น แต่แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มภาระหนี้ของประเทศและขยายเพดานหนี้อย่างไม่ยั่งยืน โดยอ้างอิงจากรายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ที่ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้จะทำให้หนี้ประเทศเพิ่มขึ้นราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า
อีกประเด็นสำคัญที่อีลอน มัสก์คัดค้านคือ การตัดงบประมาณในด้านพลังงานสะอาด ซึ่งจะกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง รวมถึงยุติการให้เครดิตภาษีสำหรับรถ EV โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัย Energy Innovation คาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงในร่างกฎหมายดังกล่าวอาจทำให้ยอดขาย EV ในสหรัฐฯ ลดลงถึง 100,000 คันต่อปีภายในปี 2035
และไม่เพียงกระทบยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น ธุรกิจพลังงานของ Tesla ที่รวมถึงการจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์และระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ ก็อาจได้รับผลกระทบจากการลดการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งคาดว่าจะลดลงมากกว่า 350 กิกะวัตต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “อีลอน มัสก์ไม่พอใจเพราะเขากำลังจะเสียสิทธิประโยชน์ของรถ EV” และเสริมอีกว่า “เขาอาจจะเสียมากกว่านั้นอีก” ซึ่งหมายถึง เงินอุดหนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษี และสัญญาว่าจ้างจากรัฐบาล ที่บริษัทของอีลอน มัสก์พึ่งพามาโดยตลอด
โดยบริษัทที่จะกระทบ ยกตัวอย่างเช่น SpaceX บริษัทด้านอวกาศของอีลอน มัสก์ที่ได้รับสัญญาว่าจ้างจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2008 จากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเช่น NASA กองทัพอากาศ และ Space Force ตามข้อมูลของ FedScout
ในส่วนของ Tesla เอง รายงานของ Geoff Orazem ซีอีโอของ FedScout เปิดเผยว่า Tesla ได้รายได้จากการขาย “Automotive Regulatory Credits” หรือเครดิตสิ่งแวดล้อมที่ใช้แลกเปลี่ยนในอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมแล้วกว่า 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเครดิตเหล่านี้มีมูลค่าสูงเพราะกฎหมายในหลายรัฐของสหรัฐฯ บังคับให้บริษัทรถยนต์ต้องขายรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ หรือซื้อเครดิตจากบริษัทที่มีเครดิตเหลือ เช่น Tesla
สิ่งที่น่าสนใจคือ รายได้จากเครดิตเหล่านี้ คิดเป็นประมาณ 60% ของกำไรสุทธิของ Tesla ในไตรมาส 2 ปี 2024 ซึ่งหมายความว่าหากร่างกฎหมายใหม่ส่งผลกระทบต่อเครดิตเหล่านี้จริง อาจทำให้ฐานรายได้สำคัญของ Tesla สั่นคลอนทันที
ที่มา: CNBC
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney