จับตา OpenAI ลงสนาม Open-Source เปิดตัว "GPT-oss" โมเดลแบบเปิดให้นักพัฒนา นักวิจัยนำไปใช้ต่อ รันบนแล็ปท็อประดับไฮเอนด์และสมาร์ทโฟนได้ ขยายฐานผู้ใช้มากกว่าผู้ให้บริการ หวังดึงคนกลับอีโคซิสเต็มแข่งกับ LLaMA ของ Meta และ DeepSeek โมเดล Open-Weight คืออะไร? แตกต่างจาก GPT แบบเดิมตรงไหน และ GPT-oss จะเปลี่ยนเกม OpenAI อย่างไรหลังจากนี้
OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เปิดตัว "GPT-oss" โมเดลประเภท Open-Weight ตัวใหม่ ซึ่งถือเป็นการกลับมาสู่แนวทางโอเพ่นซอร์สของบริษัทอีกครั้งนับตั้งแต่เปิดตัว GPT-2 ในปี 2019 และไม่อนุญาตให้นำโมเดลของบริษัทไปพัฒนาต่อหลังจากนั้น
Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI เปิดเผยว่า GPT-oss จะเป็นโมเดล Open-Source ที่ดีที่สุดและใช้งานได้ง่ายที่สุดในโลก โดยโมเดลนี้ได้รับการปรับแต่งให้มีความสามารถในการให้เหตุผลขั้นสูง (Advanced reasoning) และสามารถทำงานได้บนเครื่องแล็ปท็อประดับไฮเอนด์หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟน
โดยครั้งนี้ออกมาทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ "gpt-oss-20b" ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้บนคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปหรือแล็ปท็อปทั่วไป และ "gpt-oss-120b" ที่เหมาะสำหรับการประมวลผลระดับสูง โดยทั้งสองโมเดลให้ประสิทธิภาพในระดับเดียวกับโมเดลแบบปิด รุ่น o3-mini และ o4-mini โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านการเขียนโค้ดและ คณิตศาสตร์
โมเดล Open-Weight คือ โมเดลที่บริษัทผู้พัฒนาจะเปิดเผยน้ำหนักโมเดลหรือพารามิเตอร์ที่ได้จากการฝึกฝนและเรียนรู้ (Training) และให้สาธารณะดาวน์โหลดไปใช้งานหรือนำไปฝึกโมเดล (Fine-Tune) ต่อได้ ไม่ล็อกอยู่กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งของผู้พัฒนา
โดยหนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของโมเดลแบบเปิดนี้ คือ ผู้ใช้งานสามารถรันโมเดลได้ในเครื่องของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในระบบเครือข่ายภายในองค์กรหรือโครงสร้างพื้นฐานของตนเอง ทั้งนี้โมเดล Open-Weight จะแตกต่างจาก Open-Source ที่มักจะเปิดทั้งซอร์สโค้ด ชุดข้อมูลฝึก และกระบวนการฝึกโมเดลทั้งหมด
พูดง่าย ๆ ว่า โมเดลแบบเปิดนี้จะแตกต่างจากโมเดลแบบปิดที่เราใช้ในท้องตลาด เช่น ChatGPT, Gemini หรือ Claude ที่ผู้ใช้จะสามารถ "ใช้" โมเดลผ่านระบบคลาวด์อย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังการทำงาน และไม่สามารถเอาโมเดลไปปรับใช้หรือฝึกต่อเองได้
อย่างไรก็ตามในด้านของ Sam Altman เคยมีจุดยืนเกี่ยวกับ Open-Source หรือโมเดลแบบเปิดที่ค่อนข้างระมัดระวัง ย้อนไปในตอนที่ OpenAI พัฒนา GPT-2 ซึ่งเป็นโมเดลทรงพลังในยุคนั้น Altman และทีมปฏิเสธที่จะปล่อยเวอร์ชันใหญ่สุดทันที โดยให้เหตุผลว่า โมเดลเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงระดับชาติหรือระดับโลก หากไม่มีการควบคุม
ในปี 2020 เป็นต้นมา OpenAI กลายเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ (Capped-Profit) และเลือกที่จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเบื้องหลังของ GPT-3, GPT-4 และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามในปี 2024 OpenAI ส่งสัญญาณเปลี่ยนทิศทาง พร้อมประกาศว่าบริษัทจะเปิดตัวโมเดลแบบโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลังและดีกว่าทุกโมเดลโอเพ่นซอร์สที่มีอยู่ในปัจจุบัน
GPT-oss นับเป็น "Open" Family of Language Models ที่นักพัฒนาและนักวิจัยสามารถดาวน์โหลดไปใช้งาน วิเคราะห์ ตรวจสอบ ปรับแต่ง หรือใช้งานในงานเฉพาะทางได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ชุดข้อมูลฝึกดั้งเดิม
"แน่นอนว่า GPT-oss จะเปิดโอกาสให้เกิดงานวิจัยและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้นหลังจากนี้ โดยเราเชื่อว่าอัตราการเกิดนวัตกรรมใหม่ในวงการนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และเปิดทางให้ผู้คนจำนวนมากสามารถสร้างสรรค์สิ่งสำคัญได้มากกว่าที่เคย" Altman กล่าว
ก่อนหน้านี้ OpenAI เน้นขาย API ผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งเหมาะกับองค์กรใหญ่และใช้ทุนสูง การเปิดโมเดลแบบ Open-weight จะเปิดโอกาสใหม่มหาศาลให้กับผู้ใช้ในหลายระดับ ทั้งนักพัฒนาอิสระ สตาร์ทอัพ มหาวิทยาลัย และองค์กรขนาดกลาง โดยเฉพาะ ชุมชนโอเพ่นซอร์ส ที่จะสามารถดาวน์โหลดไปปรับใช้ตามความต้องการที่เฉพาะทาง และสร้างผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องรอ API หรือขออนุญาตจาก OpenAI ซึ่งจะเพิ่มเครือข่ายผู้พัฒนาให้ OpenAI อย่างมหาศาล ใกล้เคียงกับที่ Meta ทำสำเร็จจาก LLaMA
ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นแนวทางการพัฒนา AI ที่การแข่งขันในตลาดโมเดล AI แบบ Open-weight และ Open-Source จะเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยก่อนหน้านี้โมเดลตระกูล LLaMA ของ Meta เคยถูกยกให้เป็นผู้นำในตลาดจนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมาที่ประสบปัญหาในการเปิดตัว LLaMA 4 รวมถึงบริษัท DeepSeek จากจีนที่เขย่าวงการไปล่าสุดหลังจากเปิดตัว DeepSeek-R1 ที่ใช้ต้นทุนในการพัฒนาต่ำแต่ได้ผลลัพธ์สูงกว่าท้องตลาด
หาก OpenAI ยังนิ่งและไม่ก้าวลงมาในสนามนี้เลยอาจถูกมองว่า "ปิดตัวเกินไป" และเสียพื้นที่การเติบโตในตลาด Open-source AI ได้ การเปิดตัว GPT-oss จึงอาจทำให้ OpenAI กลับมายึดพื้นที่ของผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม โดยฉพาะชุมชน Open-source ได้ทัน ก่อนที่จะเสียฐานให้กับคู่แข่งถาวร
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -