สัญญาณความร้อนแรงของหุ้นเทคโนโลยีที่ร้อนแรงเริ่มส่อแววซึมจนเป็นที่กังวลใจ โดยเฉพาะกลุ่ม AI ที่ราคาหุ้นหลายตัวปรับตัวลดลง หลังจากการเทขายหุ้นในกลุ่มนี้ชัดเจนขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอาบรรดานักลงทุนและผู้ติดตามที่ใกล้ชิดจับตาใกล้ชิด ตั้งคำถามว่า โลกกำลังเข้าสู่ช่วง “AI Winter” หรือไม่
สองถึงสามปีที่ผ่านมา “AI ครองโลก” กลายเป็นวลีที่สื่อและนักลงทุนพูดถึงบ่อยที่สุด แต่ในปีนี้กันสัญญาณความร้อนแรงของหุ้นเทคโนโลยีที่ร้อนแรงเริ่มส่อแววซึมจนเป็นที่กังวลใจ โดยเฉพาะกลุ่ม AI ที่ราคาหุ้นหลายตัวปรับตัวลดลง หลังจากการเทขายหุ้นในกลุ่มนี้ชัดเจนขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอาบรรดานักลงทุนและผู้ติดตามที่ใกล้ชิดจับตาใกล้ชิด ตั้งคำถามว่า โลกกำลังเข้าสู่ช่วง “AI Winter” หรือไม่
สิ่งที่เคยเป็นแรงบวกในโลก AI ถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะเมื่อแต่ละการเปิดตัวโมเดลใหม่เริ่มสร้างผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง หากเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ กระแส AI ถูกมองว่าอาจเข้าสู่จังหวะชะลอตัว มากกว่าการสร้างการปฏิวัติครั้งใหม่ทั้งโลกธุรกิจ
ล่าสุดรายงานจาก MIT เผยแพร่ล่าสุดยิ่งสะท้อนความจริง โดยระบุว่า 95% ขององค์กรที่ลงทุนใน AI ไม่ได้ผลตอบแทนใด ๆ ขณะที่ IBM ก็เปิดเผยว่า Agentic AI ยังไม่ค่อยเวิร์ก มีเพียง 16% ขององค์กรที่ใช้งานได้อย่างเป็นระบบทั้งองค์กร สะท้อนว่าภาพความฝันกับการใช้งานจริงยังห่างไกลกันมาก หรือมากไปกว่านั้นที่ Sam Altman ซีอีโอ OpenAI หนึ่งในผู้นำตลาดเองได้ออกมาเตือนถึง “ภาวะฟองสบู่ AI” และการขาดทุนมหาศาล จากความตื่นเต้นที่ไร้เหตุผลในช่วงที่ผ่านมา
อ่านเพิ่มเติม หุ้น AI ร่วงระนาว พบ 95% โปรเจกต์ GenAI ยังไม่เวิร์ก นักลงทุนเริ่มตั้งคำถาม ผลตอบแทนอยู่ไหน
คำว่า “AI Winter” มักใช้เรียก "ช่วงเวลาที่ความสนใจและการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ลดลงอย่างรุนแรง" หลังผ่านพ้นความคาดหวังที่สูงเกินจริง แต่ไม่สามารถส่งมอบผลลัพธ์ได้ตามที่สัญญาไว้ เปรียบเสมือนการถูก “แช่แข็ง” ที่ส่งผลต่อทั้งความคาดหวัง ความนิยม การวิจัย การพัฒนา และการลงทุน
ที่ผ่านมาโลกเคยเผชิญ AI Winter อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกในทศวรรษ 1970 และปลายทศวรรษ 1980-1990 โดยมีสาเหตุหลักคล้ายกัน คือ ความคาดหวังเกินจริง เทคโนโลยียังไม่พร้อม และผลตอบแทนไม่ทันใจ อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีใครฟันธงได้ว่า AI Winter รอบใหม่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเริ่มจับตา เพราะสัญญาณหลายประการกำลังปรากฏขึ้น
แม้ AI แสดงศักยภาพในบางอุตสาหกรรม แต่ไม่ได้ “พลิกโลก” เหมือนที่หลายฝ่ายวาดฝัน รายงานจำนวนมากสะท้อนว่าโครงการ AI ขององค์กรธุรกิจยังไม่สามารถสร้างมูลค่าที่วัดผลได้จริง เมื่อเทียบกับต้นทุนที่จ่ายไป หรือแม้แต่ในฝั่งผู้พัฒนาที่รายได้จากการใช้งานจริงยังไม่คุ้มค่า ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและเงินลงทุนเริ่มสั่นคลอน
นอกจากนี้ความก้าวหน้าของโมเดลใหม่ ๆ เริ่มถูกมองว่าถึงจุดอิ่มตัว การอัปเกรดไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเหมือนช่วงแรก อีกทั้งปัญหาทางเทคนิคยังคงอยู่ เช่น Hallucination หรือการสร้างข้อมูลเท็จ และข้อจำกัดเรื่องความเข้าใจโลกจริง
กล่าวคือ จุดแข็งของ AI วันนี้ยังอยู่ที่ “การช่วยคิด” มากกว่าการ “คิดเอง” จริง ๆ ทุกครั้งที่โจทย์หรือบริบทเปลี่ยน นักพัฒนาต้องออกแบบ Reasoning Roadmap ใหม่เสมอ และขณะเดียวกันที่ปัญหาคุณภาพข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ การจัดหาข้อมูลคุณภาพสูงใช้ทั้งเงินและเวลา และหาก AI ถูกฝึกด้วยข้อมูลไม่ดี หรือข้อมูลที่ AI สร้างเอง อาจยิ่งทำให้ประสิทธิภาพถดถอยลง
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เผชิญภาวะการกระจุกตัวสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI นำโดย Magnificent Seven ที่เป็นแรงขับเคลื่อนแทบทั้งหมดของตลาด อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายลงทุน (Capex) พุ่งสูงผิดปกติ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนพิจารณา เช่น กรณีของ Perplexity ที่มีค่าใช้จ่ายซื้อโมเดลและบริการคลาวด์สูงกว่ารายได้จริง หากเศรษฐกิจชะลอตัว เงินทุนสำหรับโครงการ AI ที่มีความเสี่ยงสูงอาจหายไปในพริบตา
บรรยากาศการลงทุนในปีนี้เริ่มสะท้อนให้เห็นชัดถึงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่ม AI ที่กำลังเผชิญกับความผันผวนในเรื่องการตีมูลค่า ความเสี่ยงของระบบการเงินอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า AI จะพัฒนาต่อได้หรือไม่ แต่คือความคาดหวังที่สูงเกินจริงที่สะสมทั้งในตลาดหุ้นและตลาดหนี้
การกระจุกตัวของหุ้นกลุ่มนี้ย่อมส่งผลให้ความผันผวนใดๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งในแง่ของการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริง และผลกระทบต่อระบบการเงินที่รองรับการลงทุนเหล่านี้ หาก AI ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจริงตามสัญญาได้ ฟองสบู่ที่สะสมอยู่อาจแตก และอาจส่งผลกระทบต่อทั้งระบบ
สิ่งที่น่ากังวลจึงไม่ใช่เพียงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินที่ไม่โปร่งใส (Opaque Private Markets) ซึ่งกำลังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน AI คาดกันว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า เงินลงทุนด้านนี้อาจแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในเวลาเดียวกัน ตลาดหนี้เอกชน (Private Credit) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายในปีเดียวมูลค่าพุ่งขึ้นกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สู่ระดับ 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จน UBS ต้องออกมาเตือนว่าการขยายตัวนี้อาจก่อให้เกิด “ฟองสบู่” ได้ หากกองทุนบำเหน็จบำนาญและนักลงทุนรายย่อยแห่เข้าไปเพิ่ม
ความหนาวในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากวิกฤตความเชื่อมั่นและต้นทุนมหาศาล ทว่าพร้อมกันนั้น AI ก็พิสูจน์แล้วว่ามีการใช้งานที่สร้างคุณค่าได้จริงและจับต้องได้ ซึ่งเป็นไปตามวงจรชีวิตของเทคโนโลยีใหม่จึงชัดเจนขึ้นว่า รากำลังเข้าสู่ช่วง Reality Check ตามกราฟ Gartner Hype Cycle ที่จะคัดกรองให้เหลือเพียงผู้เล่นที่แข็งแรงจริง
สิ่งสำคัญคือ วันนี้ AI ไม่ใช่แค่เรื่องการวิจัย แต่กลายเป็นเศรษฐกิจจริง ที่ส่งผลต่อแรงงาน การลงทุน และนโยบายระดับประเทศ การแข่งขันระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีน สหรัฐ และยุโรป ทำให้ AI ถูกยกระดับเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ความมั่นคง แม้ภาคเอกชนอาจชะลอ แต่ภาครัฐยังคงเดินหน้าเต็มกำลัง
ท้ายที่สุด ผู้ที่อยู่รอดจาก “AI Winter” อาจไม่ใช่คนที่ทุ่มเงินมากที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจว่า AI ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เมื่อถูกนำมาใช้แก้ปัญหาที่แท้จริงอย่างมีคุณค่าและยั่งยืน ดังนั้นการพูดถึง AI Winter รอบใหม่นี้ จึงไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะหยุดนิ่งหรือล้มเหลวเหมือนในอดีต หากแต่เป็นสัญญาณของการ “กลับสู่ความเป็นจริง” หลังผ่านช่วงเวลาแห่งความคาดหวังที่สูงเกินจริง
ที่มาข้อมูล Telegraph , Financial Times , Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -