Thairath Money มัดรวมข้อมูลและคำตอบทุกข้อสงสัยใน "World" โครงการสแกนม่านตาของ OpenAI ทำไมต้องใช้ม่านตา ซื้อ-ขาย-เก็บข้อมูลจริงไหม สแกนแล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าไม่รั่วไหล แจก Token เอาไปใช้ทำอะไรต่อ หลังทีม World ประเทศไทย นำโดย ภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย และนายฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ Managing Director จาก World Foundation แถลงข้อเท็จจริง แก้ไขทุกความเข้าใจผิดของสาธารณชน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา "World" โครงการสแกนม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ที่ริเริ่มโดย OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะประเด็นถกเถียงสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและการหลอกลวงผู้ใช้ให้สแกนม่านตาเพื่อแลกกับเงิน
ล่าสุด ทีม World ประเทศไทย นำโดย ภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย และนายฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ Managing Director จาก World Foundation พร้อมด้วยพันธมิตรร่วมแถลงข้อเท็จจริง โดยได้ยืนยันชัดเจน 5 ประเด็นหลักเพื่อแก้ไขทุกความเข้าใจผิดของสาธารณชน ดังต่อไปนี้
World เป็นเทคโนโลยีระดับโลกที่ก่อตั้งโดย Sam Altman (ผู้สร้าง ChatGPT)
ระบบใช้เพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่ยืนยันตัวตน
ยืนยันความปลอดภัย ไม่ซื้อ-เก็บ-ขายข้อมูลชีวมิติ ข้อมูลรั่วไหลไม่เป็นความจริง
ทำงานกับ PDPC และดำเนินงานภายใต้กฏหมายและข้อบังคับไทยอย่างต่อเนื่อง
มีเป้าหมาย แยกมนุษย์ออกจากบอท AI เพื่อป้องกันการฉ้อโกงในโลกดิจิทัล
World คือ เทคโนโลยีจากบริษัท Tools for Humanity (TFH) ที่ก่อตั้งโดย Alex Blania และ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI โดยมีพันธกิจในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ “ปลอดภัยสำหรับมนุษย์” ทั่วโลก ช่วยให้ทุกคนสามารถแสดงสถานะว่าเป็น “บุคคลจริง” ไม่ใช่บอตบนโลกออนไลน์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลระบุตัวตน เช่น ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน ข้อมูลบัตรเครดิต อีเมล หรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ
ปัจจุบัน World ให้บริการในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน โดยมีผู้ที่เข้ามาสร้างบัญชีกับ World ทั่วโลกกว่า 33.7 ล้านคน และมีผู้ที่ยืนยันความเป็นมนุษย์จำนวนกว่า 15 ล้านคน จำนวน Monthly Active User อยู่ที่ประมาณ 9.5 ล้านคนต่อเดือน
สำหรับประเทศไทย World เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2568 และมีผู้ใช้ในไทยที่สร้างบัญชีกับ World แล้วอยู่ที่ 2 ล้านคนและมีผู้ที่ยืนยันความเป็นมนุษย์แล้วกว่า 1 ล้านคน โดยที่ผ่านมาได้ขยายระบบอย่างเป็นทางการ โดยร่วมมือกับ TIDC และ เอ็ม วิชั่น (MVP) และได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ 11 พันธมิตรระดับชาติ ได้แก่ COM7 (BaNaNa), JIB, National Telecom, IMPACT, Pantip, Gogolook (Whoscall), Eventpop, Zentry, Bitazza Thailand, BINANCE TH และ Bitkub
โดยมีแผนขยายการดำเนินการในไทย ประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ คือ การขยายจุดสแกน Orb กว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับ COM7 (BaNaNa), JIB, NT และ IMPACT ติดตั้งอุปกรณ์ Orb ให้ประชาชนเข้าถึงได้สะดวก ผลักดันการใช้ World ID เป็นหลักฐานดิจิทัลยืนยันตัวตนเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มชั้นนำ รวมถึงการทดลองใช้ World Chain ในระบบคริปโตพัฒนาแนวทางใหม่ในการใช้การยืนยันตัวตนในระบบสินทรัพย์ดิจิทัล
สำหรับประเด็นที่ได้มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า Worldcoin ถูกหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศสั่งระงับการให้บริการชั่วคราวหรือสอบสวนอย่างเข้มข้น ภัคพล กล่าวว่า "ไม่เป็นความจริง" และเป็น "ความเข้าใจผิด" พร้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในบางประเทศ Worldcoin อาจมีการ หยุดให้ดำเนินการชั่วคราวแต่การหยุดนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เวลาในการพูดคุยและอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้กับหน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่นเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนเสียก่อน ไม่ใช่การถูกสั่งระงับหรือแบนตามที่เป็นข่าว
ภัคพล กล่าวว่า จากข้อมูลปีที่แล้วคนไทยถูกหลอกลวงทางออนไลน์มากกว่า 168 ล้านครั้ง และสร้างความเสียหายกว่า 4 หมื่นล้านบาท มากไปกว่านั้นยังพบว่ามิจฉาชีพเหล่านี้ใช้เทคโนโลยี AI ปลอมแปลงเสียงและใบหน้า ซึ่งเป็นเหตุผลให้ World ตั้งใจเข้ามาในประเทศไทยเพื่อให้บริการระบบที่ดีกว่าเดิมและช่วยให้คนไทยสามารถใช้ชีวิตในยุค AI ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
“เทคโนโลยีสแกนม่านตาของ World จะทำให้สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังบัญชีหรือธุรกรรมออนไลน์เป็นมนุษย์จริง (Proof of Personhood) ไม่ใช่บัญชีปลอม จึงช่วยลดปัญหาการหลอกลวงทางดิจิทัลที่อาศัยบอทหรือการสวมรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ”
ภัคพล ยืนยันว่า World ดำเนินงานภายใต้กรอบกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การปฏิบัติงานโปร่งใสและถูกต้องตามข้อบังคับ โดยมีการปรึกษาหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งก่อนและหลังเข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย และยังคงขอคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ ‘สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล’ (Office of the Personal Data Protection Commission หรือ PDPC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
นอกจากนี้ World ยังได้จัดทำ Auditor Report โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เช่น Theori และ Trail of Bits ตรวจสอบระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทั้งหมดถูกเปิดเผยแบบโอเพนซอร์สบน GitHub ให้ทุกคนทั่วโลกเข้ามาตรวจสอบได้เพื่อยืนยันว่าระบบปลอดภัยและไม่มีช่องโหว่แอบแฝง
หากจะเข้าใจ World ให้มากขึ้น TFH พัฒนาเทคโนโลยีนี้ในรูปแบบของระบบนิเวศที่ถูกออกแบบมาเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับโลกอินเทอร์เน็ต โดยสามารถแบ่งองค์ประกอบหลักที่เชื่อมโยงกันอยู่ได้ 5 อย่าง ได้แก่
ขั้นตอนแรก เริ่มจากการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน World App เพื่อนัดหมายจองคิวกับจุดให้บริการเพื่อเข้ามาทำการสแกน จากนั้นเครื่อง Orb จะทำการสแกนใบหน้าและม่านตาเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์และยังเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต
ภาพม่านตาที่สแกนจะถูกแปลงออกมาเป็น "Iris Code" หรือรหัสม่านตา ที่เป็นแค่ "ชุดตัวเลข" 0 และ 1 จำนวนหลายหมื่นหลัก และจะถูกจัดเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานเองเพื่อใช้ยืนยันในโลกออนไลน์ว่าเป็นมนุษย์จริงเปรียบเสมือน Digital Passport
ทั้งนี้ Iris Code จะไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นภาพม่านตาได้ เพราะผ่านกระบวน การเข้ารหัสแบบทางเดียว (One-way Cryptography) ร่วมกับ เทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof (ZKP) และ Anonymized Multi-Party Computation (AMPC) ที่ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นหลายส่วนและกระจายไปยังเซิร์ฟเวอร์หลายจุด แต่ละส่วนจะถูกเข้ารหัสอีกครั้งด้วยกุญแจเฉพาะของแต่ละพาร์ตเนอร์ โดยไม่มีฝ่ายใดสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้เพียงลำพัง
ส่วนที่ถูกเข้ารหัสจะถูกจัดเก็บไว้ใน “กล่องเก็บข้อมูลส่วนตัว” ของคุณ ซึ่งไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้แต่ระบบเอง (Personal Custody Package) ทำให้ชุดข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถใช้ระบุตัวตนได้เลย บอกได้เพียงแค่ว่า "คุณคือมนุษย์คนหนึ่งที่เคยผ่านการยืนยันแล้ว" เท่านั้น
โดยหลังจากการสแกนกับเครื่อง Orb แล้ว ภาพที่สแกนจะถูกลบออกจากเครื่องทันที ไม่มีการนำไปซื้อขายและจัดเก็บไว้เอง โดยระบบถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่มีการเข้าถึงหรือผูกข้อมูลกับแอปพลิเคชันทางการเงินใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมทางการเงินตามที่มีการเผยแพร่ ดังนั้นข่าวลือเรื่อง “ข้อมูลรั่วไหล” หรือ “นำข้อมูลไปขาย” จึงไม่เป็นความจริง
ฟาเบียน กล่าวว่า แม้ปัจจุบันมีระบบที่ใช้ทั้งลายนิ้วมือหรือการสแกนใบหน้า แต่เหตุผลหลักที่ใช้ “ม่านตา” เพราะความเป็นส่วนตัวและความแม่นยำในระดับสากล โดยม่านตาของแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก ทำให้แยกแยะระหว่างมนุษย์แต่ละคนได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญคือ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง "รหัส" ที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพม่านตาหรือระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้เลย ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานปลอดภัยสูงสุด
ฟาเบียน กล่าวว่า World ไม่ได้แจกเงินสด แต่ผู้ที่สแกนเพื่อเข้าร่วมและยืนยันความเป็นมนุษย์จะได้รับ Worldcoin (WLD) ซึ่งเป็นเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ที่สามารถนำไปใช้ต่อในเครือข่าย โดยผู้ใช้จะมีอิสระที่ใช้ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะถือไว้ หรือแลกเปลี่ยนก็ได้ กล่าวคือ เป็นเหมือนการให้รางวัลและสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในเครือข่าย เพราะเป้าหมายหลักคือ การสร้างเครือข่ายมนุษย์ผ่านการยืนยันความเป็นมนุษย์เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในยุค AI
จากนั้นในแง่ของโมเดลธุรกิจ เมื่อมีแพลตฟอร์มหรือบริษัทต่างๆ ต้องการใช้ระบบ World ID เพื่อกรองบอทหรือบัญชีปลอมออกจากบริการของพวกเขา บริษัทจะเก็บค่าบริการจากบริษัทเหล่านั้น ไม่ใช่จากผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่ง World ID ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นมาตรฐานระดับโลก ไม่จำกัดแค่คนไทย ทำให้แพลตฟอร์มต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับระบบเดียวเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้งานจากทั่วโลกได้
ทั้งนี้ผู้ที่สแกนม่านตาจะได้รับ Worldcoin ทั้งหมด 54 เหรียญ (ณ วันที่ให้สัมภาษณ์ 3 ก.ย. 2568) แต่จะไม่ได้ทั้งหมดในครั้งเดียว โดยรอบแรกจะได้รับ 25 เหรียญ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังสแกนและทยอยรับอีก 29 เหรียญที่เหลือภายใน 5 เดือน ซึ่งจะถูกทยอยให้ทุกเดือน
จากนั้นผู้ใช้งานจะต้องเข้ามาในแอปพลิเคชัน World App เพื่อกดรับตามระยะเวลาที่กำหนด หากไม่กดรับในช่วงเวลานั้น อาจจะเสียสิทธิ์ในส่วนของเหรียญที่ไม่ได้เคลม โดย Worldcoin ที่ได้รับจะอยู่ใน Wallet และจะไม่มีวันหมดอายุ สามารถเก็บไว้ได้เหมือนสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป
สำหรับโปรแกรมชวนเพื่อน (Referral Program) เป็นเพียงกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดที่คล้ายกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ให้รางวัลเมื่อชวนเพื่อนมาใช้งาน หากผู้ใช้งานชวนเพื่อนมาสแกนม่านตาผ่านลิงก์ Referral ของตนเองและเพื่อนทำการลงทะเบียนและสแกนสำเร็จ ผู้ชวนจะได้รับ Worldcoin เป็นรางวัล
Worldcoin (WLD) คือ เหรียญโทเค็นดิจิทัลที่ออกโดย World Foundation และสร้างขึ้นบนเครือข่าย Ethereum ที่สามารถสร้างยูสเคสใช้งานได้หลากหลาย ยกตัวอย่าง การมีส่วนร่วม (Governance) ในอนาคต ผู้ถือเหรียญจะสามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงในทิศทางของโครงการได้
นอกจากนี้เนื่องจากเป็นคริปโทเคอร์เรนซี ผู้ใช้งานบางส่วนอาจใช้ในการเก็งกำไร (Speculation) ได้เช่นเดียวกัน สำหรับมูลค่าตามการใช้งาน มูลค่าของเหรียญจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ จำนวนผู้ใช้งาน และประโยชน์ใช้สอยของเครือข่าย ยิ่งมีคนใช้และมีประโยชน์มาก มูลค่าก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้หลายคนเลือกที่จะเก็บเหรียญไว้ในระยะยาว โดยปัจจุบัน Worldcoin มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 57.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีราคาต่อเหรียญอยู่ที่ 28.7 ดอลลาร์สหรัฐ(ณ วันที่ 3 ก.ย. 2568)
สำหรับข้อกังวลเรื่องการแอบอ้างโครงการโดยมิจฉาชีพในปัจจุบัน ภัคพล กล่าวว่า ทีม World ประเทศไทยตระหนักถึงปัญหามิจฉาชีพที่เข้ามาฉวยโอกาส และกำลังดำเนินการใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การให้ความรู้ผ่านการสื่อสารและเตือนประชาชนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและมีการแจกเอกสารและติดป้ายเตือน ณ จุดให้บริการอย่างต่อเนื่อง มีการตั้งทีมตรวจสอบที่คอยค้นหาและป้องกันกรณีที่เข้าข่ายมิจฉาชีพในเชิงรุก และขยายช่องทางการรายงานปัญหา ให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมผ่านแอปพลิเคชัน World App ได้โดยตรง
“ผมเข้าใจว่านี่เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก เหมือนกับตอนที่ iPhone เปิดตัวระบบสแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้าครั้งแรก ซึ่งก็เคยมีความกังวลเกิดขึ้นมากมาย แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องปกติ เราเชื่อว่าระบบยืนยันความเป็นมนุษย์นี้ก็จะเป็นเช่นนั้นในวันหนึ่ง และขอยืนยันว่า Worldcoin ไม่มีการจ้างบุคคลที่สามเพื่อเก็บข้อมูล ไม่มีการเก็บค่าบริการ ไม่มีการแจกเงินสด และไม่มีการรับแลกเหรียญเป็นเงินบาทโดยตรง หากพบเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ นั่นไม่ใช่วิธีการของเราครับ”
ท้ายสุดนี้ World ขอให้ประชาชนโปรดระมัดระวังมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีที่แอบอ้าง โดยเฉพาะการอ้างว่าแจกเงินสดหรือสิ่งตอบแทนเป็นการส่วนตัว เพื่อเข้าถึงบัญชี World ของท่าน ทั้งนี้การยืนยันความเป็นมนุษย์ผ่าน Orb ต้องดำเนินการทุกขั้นตอนผ่านระบบและแอป World เท่านั้น ภัคพล กล่าว
อ่านเพิ่มเติม 5 ประเด็นที่คนไทยควรรู้เกี่ยวกับ “World” ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ ช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นในยุค AI
ที่มาข้อมูล World Thailand
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -