อธิบาย Palantir ทำธุรกิจอะไรกันแน่ ? บริษัทแปลก ๆ ที่อยู่ดี ๆ กลายเป็นดาวเด่นวงการเทคโนโลยี

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

อธิบาย Palantir ทำธุรกิจอะไรกันแน่ ? บริษัทแปลก ๆ ที่อยู่ดี ๆ กลายเป็นดาวเด่นวงการเทคโนโลยี

Date Time: 14 ก.ย. 2568 12:39 น.

Video

 ทำไม Figma ถึงเป็นดาวรุ่งวงการเทค - AI ก็ทำอะไรไม่ได้ ? | Digital Frontiers EP.44

Summary

Palantir บริษัทแห่งนี้ทำอะไรกันแน่? ธุรกิจแปลกประหลาดที่หลายคนยังไม่เข้าใจ จากบริษัทลึกลับในโลกเทคโนโลยีที่ขาดทุนมา 20 ปี แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นดาวเด่น บอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้แค่ทำซอฟต์แวร์ธรรมดา แล้วเขาทำอะไรกันแน่?

Palantir บริษัทแห่งนี้ทำอะไรกันแน่? ธุรกิจแปลกประหลาดที่หลายคนยังไม่เข้าใจ จากบริษัทลึกลับในโลกเทคโนโลยีที่ขาดทุนมา 20 ปี แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นดาวเด่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้แค่ทำซอฟต์แวร์ธรรมดา รายการ  Digital Frontiers ทางช่อง YouTube : Thairath Money ได้อธิบายธุรกิจ Palantir  แบบเข้าใจง่ายๆว่าสรุปแล้วเขาทำอะไรกันแน่?

จุดเริ่มต้น: ภารกิจจาก 9/11

ย้อนกลับไปปี 2003 สองปีหลังเหตุการณ์ 11 กันยายนที่สั่นสะเทือนโลก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ได้รวมตัวกับ Alex Karp และเพื่อนร่วมก่อตั้งอีกสามคน พวกเขามีภารกิจเดียวที่ชัดเจน: "ทำอย่างไรให้ 9/11 ไม่เกิดขึ้นอีก"

ชื่อ "Palantir" มาจากหินวิเศษใน Lord of the Rings หินที่มีพลังพิเศษมองเห็นได้ข้ามเวลาและสถานที่ นั่นคือภาพที่ทีมผู้ก่อตั้งอยากสร้าง - ระบบที่ให้รัฐบาล 'มองเห็นทุกอย่าง' ก่อนภัยคุกคามจะเกิดขึ้นจริง

แต่เส้นทางเริ่มต้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตอนนั้นนักลงทุน Silicon Valley มองงานรัฐว่าเชย ยุ่งยาก และไร้กำไร หลายคนหัวเราะเยาะว่าจะมีอนาคตหรือ Thiel จึงต้องควักเงินส่วนตัวหลายสิบล้านดอลลาร์เพื่อให้บริษัทอยู่รอด

จนกระทั่ง CIA ก้าวเข้ามาผ่านกองทุน In-Q-Tel ถึงแม้ลงทุนเพียงไม่กี่ล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าที่ Thiel ทุ่มไปมาก แต่การที่ CIA เข้ามาไม่ใช่แค่ลงทุน แต่ยังกลายเป็น "ลูกค้ารายแรก" คือการรับรองที่ทรงพลังที่สุด เหมือนตราประทับว่า "ของจริง ใช้งานได้จริง และไว้ใจได้"

Palantir ทำอะไรกันแน่?

ลองนึกภาพว่าคุณมีข้อมูลกองมหึมา: ภาพถ่ายดาวเทียม, บันทึกการโทร, ธุรกรรมการเงิน, โพสต์โซเชียลมีเดีย, อีเมล, รายงานข่าวกรอง มันเยอะจนแม้จะมีมนุษย์พันคนก็นั่งอ่านไม่หมดในชีวิตนี้

นี่แหละที่ Palantir เข้ามาแก้ปัญหา

Palantir คือซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ได้แค่เก็บ ไม่ได้เอาไปขาย แต่แปลงข้อมูลดิบเหล่านี้ให้กลายเป็น "ความรู้ที่ใช้ตัดสินใจได้จริง"

พูดง่ายๆ ถ้าข้อมูลดิบคือกอง LEGO นับล้านชิ้น Palantir คือคนที่ช่วยคุณต่อก้อนเล็กๆ เหล่านั้นให้กลายเป็น "เมืองจำลอง" ที่คุณเดินดูได้ทุกซอกมุม และที่สำคัญคือทำให้คุณเห็นความสัมพันธ์ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

หลักการสำคัญ : สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ Palantir ไม่เก็บข้อมูลเอง ไม่เป็นเจ้าของข้อมูล ไม่ขายข้อมูลให้ใคร สิ่งเดียวที่ขายคือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจข้อมูลของคุณเอง และซอฟต์แวร์นี้ทำงานบนระบบเดิมของลูกค้า ไม่ต้องรื้อทั้งองค์กร ไม่ต้องเปลี่ยน infrastructure ทั้งหมด

3 แพลตฟอร์มหลักของ Palantir

1. Gotham - อาวุธลับของหน่วยข่าวกรอง

แพลตฟอร์มแรกที่เกิดขึ้นหลัง 9/11 ออกแบบมาเพื่อ CIA, FBI, NSA และกองทัพโดยเฉพาะ Gotham รวมข้อมูลจาก 100 แหล่ง - ภาพดาวเทียม, การดักฟัง, ธุรกรรมการเงิน, โซเชียล - แล้วสร้าง "กราฟความสัมพันธ์" ที่แสดงเครือข่ายผู้ก่อการร้าย เส้นทางเงิน แผนการโจมตี ในภาพเดียว

2. Foundry - สมองกลสำหรับธุรกิจ

หลังประสบความสำเร็จกับภาครัฐ Palantir พัฒนา Foundry สำหรับภาคเอกชน ออกแบบให้ "คนธรรมดา" ใช้ได้ ไม่ต้องเป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรอง สามารถสร้าง "Digital Twin" - แบบจำลองดิจิทัลของทุกอย่างในองค์กร

3. AIP (Artificial Intelligence Platform) - อาวุธใหม่ที่เปลี่ยนเกม

เปิดตัวปี 2023 ท่ามกลางกระแส AI Boom หลัง ChatGPT AIP นำ AI มาผสมกับ Ontology ของ Palantir และปรัชญาที่ Palantir ยึดมาตลอด 20 ปีคือ "AI ช่วยมนุษย์ตัดสินใจ ไม่ใช่แทนที่มนุษย์" เพราะเชื่อว่าการตัดสินใจที่สำคัญต่อชีวิตและความมั่นคงของโลก ยังต้องมีมนุษย์เป็นคนกดปุ่มสุดท้ายเสมอ

จากขาดทุนสู่ความสำเร็จ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Palantir ขาดทุนมาโดยตลอด และจะไม่ขาดทุนได้อย่างไร เพราะการขายแต่ละครั้งใช้เวลาเป็นปี ต้องส่งวิศวกรไปนั่งกับลูกค้า ปรับแต่งระบบ ซับซ้อนมาก

แต่จุดเปลี่ยนคือ "AIP Bootcamp" - เวิร์กช็อป 5 วัน ที่ลูกค้าเอาข้อมูลมาลองใช้จริง เห็นผลทันที เซ็นสัญญาเลย! จากเคยใช้เวลาเป็นปี เหลือแค่ 5 วัน

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง

  • ไตรมาส 2/2025 รายได้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก

  • รายได้จากเอกชนโตเพิ่มเกือบเท่าตัว

  • ได้สัญญากับกองทัพบกสหรัฐฯ มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ระยะเวลา 10 ปี

  • ได้รับการบรรจุในดัชนี S&P 500

3 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ Palantir พิเศษ

ประเด็นที่ 1: เทคโนโลยี "Ontology" ที่ไม่มีใครเทียบ

Palantir ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่สร้าง "แบบจำลองโลกดิจิทัล" หรือที่เรียกว่า Ontology ถ้าข้อมูลทั่วไปเหมือนกองอิฐนับล้านก้อน Palantir เอาอิฐพวกนี้สร้างเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นโลก! ทำให้เห็นความเชื่อมโยงที่มนุษย์มองไม่เห็น

วิธีการทำงาน: ระบบแปลงข้อมูลดิบให้เป็น "วัตถุดิจิทัล" ที่มีความสัมพันธ์กัน - คน สถานที่ เหตุการณ์ ธุรกรรม - แล้วเชื่อมโยงทุกอย่าง ทำให้นักวิเคราะห์ "เดินทาง" ผ่านข้อมูลได้เหมือนเดินในเมือง

ประเด็นที่ 2: โมเดลธุรกิจ "ฝังตัวลึก" ที่เปลี่ยนแทนยาก

Palantir ใช้กลยุทธ์ "Forward Deployed Engineers" ส่งวิศวกรไปทำงานกับลูกค้าเป็นเดือนหรือปี กระบวนการฝังตัวนี้มี 4 ขั้นตอน:

  1. Embed - วิศวกรเข้าไปนั่งในองค์กรลูกค้า เรียนรู้ปัญหาจริง

  2. Integrate - เชื่อมต่อข้อมูลทุกแหล่ง ไม่ว่าเก่าหรือยุ่งเหยิงแค่ไหน

  3. Customize - ปรับแต่งให้ตรงกับ workflow เฉพาะ

  4. Lock-in - ทำการเปลี่ยน = ผ่าตัดเปลี่ยนระบบประสาท

โมเดลนี้สร้างความผูกพันที่ทำให้การเปลี่ยนผู้ให้บริการเป็นเรื่องยากและซับซ้อนอย่างยิ่ง

ประเด็นที่ 3: "Karp Doctrine" - อุดมการณ์ของซีอีโอ

Alex Karp ซีอีโอที่แปลกประหลาดที่สุด - ปริญญาเอกปรัชญาจากเยอรมนี ครอบครัวฮิปปี้ วัยเด็กมีดิสเลกเซีย แต่เขาสร้างอุดมการณ์ "Karp Doctrine" ที่ว่า:

"ประชาธิปไตยตะวันตกเหนือกว่า บริษัทเทคมีหน้าที่ทางศีลธรรมปกป้องมัน อำนาจโลกยุคใหม่คือ AI ไม่ใช่อาวุธ"

หลักการ 4 ข้อ:

  • ไม่ทำงานให้ศัตรูของตะวันตก - ปฏิเสธเงินจากจีน รัสเซีย

  • สนับสนุนกองทัพประชาธิปไตย - "ถ้าตะวันตกแพ้สงคราม AI เสรีภาพหายไป"

  • ต่อต้าน Big Tech - "Google, Facebook จริยธรรมจอมปลอม"

  • ไม่ขอโทษที่ทำงานให้รัฐ - "เราปกป้องชาติ ไม่ใช่ขายโฆษณา"

เขาย้ายสำนักงานออกจาก Silicon Valley ไป Denver พร้อมประกาศว่า "หนีวัฒนธรรมเน่า ที่ทิ้งภารกิจเปลี่ยนโลก ไปทุ่มสมองกับแอปฯ ไร้สาระ"

ประเด็นจริยธรรมและข้อวิพากษ์วิจารณ์

อย่างไรก็ตาม Palantir ยังมีประเด็นจริยธรรมที่ถูกวิจารณ์หนักเรื่องความเป็นส่วนตัว ถูกกล่าวหาว่าช่วยให้หน่วยงานรัฐบาลสอดแนมประชาชน เช่น:

  • การพัฒนา "ระบบติดตามการเนรเทศ" ให้กับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง

  • การทำงานร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษในช่วงการระบาดของโควิด-19

นักวิจารณ์กังวลว่าจะมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม Palantir ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่าไม่ได้สร้าง "ฐานข้อมูลหลักขนาดใหญ่" เพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนตัว และบริษัทยืนยันว่าตนเป็นเพียงผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบในการใช้งานเอง

ความปลอดภัย vs ความเป็นส่วนตัว

20 ปีที่ผ่านมา Palantir เดินทางจากบริษัทที่ขาดทุนยาวนาน ถูกมองว่าเป็น "บิ๊กบราเธอร์" คอยสอดส่อง มาถึงวันนี้กลายเป็นผู้เล่นที่กำหนดอนาคตของ AI

แต่สิ่งที่น่าคิดคือ เมื่อมีบริษัทหนึ่งสามารถ "เชื่อมโยงทุกข้อมูล มองเห็นทุกสิ่ง" เราจะได้โลกที่ปลอดภัยขึ้น หรือโลกที่ถูกเฝ้ามองทุกย่างก้าว? เมื่อไหร่ที่เราต้องเลือกระหว่างความปลอดภัยกับความเป็นส่วนตัว คำตอบไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่คิด

ไม่แน่ว่าถ้า Palantir เกิดขึ้นในยุค 90 ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อาจไม่โดนโจมตี ค่าป้องกันไม่ว่าจะแพงแค่ไหน ก็ยังดีกว่าการต้องมานั่งประเมินค่าความเสียหาย

Palantir จึงเป็นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออนาคตของอารยธรรมในยุคดิจิทัล




Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ