การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทยและอาเซียน ไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็นอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นจริง หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ “เทคโนโลยีแบตเตอรี่” ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายมหาศาล
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทยและอาเซียน ไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็นอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นจริง หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ “เทคโนโลยีแบตเตอรี่” ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายมหาศาล
บทความนี้ Thairath Money จะพาไปสำรวจภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ที่ได้รวบรวมมาจากงาน The 3rd ASEAN Battery Technology Conference 2025 (ABTC) การประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่อาเซียน ครั้งที่ 3 ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญสองท่าน
ดร. พิมพาเริ่มต้นด้วยการฉายภาพใหญ่ว่า ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายด้าน ความยั่งยืน (Sustainability) และการลดการปล่อยคาร์บอน (Net Zero) แม้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์จะมีราคาถูกลงมาก แต่ความท้าทายหลักคือ "ความไม่เสถียร"
“ระบบกักเก็บพลังงาน หรือแบตเตอรี่ เข้ามาทำหน้าที่เหมือน ‘ถังเก็บน้ำ’ คือเก็บพลังงานสำรองไว้ใช้ในเวลาที่ต้องการ ทำให้เราใช้พลังงานสะอาดได้อย่างต่อเนื่อง มันจึงเป็น ‘ตัวขับเคลื่อนสำคัญ’ ของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้” ดร. พิมพาอธิบาย
ในขณะที่ Dr. Whittingham เสริมความแข็งแกร่งของภาพนี้ด้วยมุมมองทางเทคโนโลยีว่า “แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะยังคงเป็นเทคโนโลยีหลักไปอีก 5-10 ปี” เนื่องจากมีความหนาแน่นพลังงาน (Energy Density) สูงที่สุด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์พกพาและยานยนต์ไฟฟ้า
เมื่อมองภาพใหญ่ระดับโลก Dr. Whittingham เตือนว่าตลาดแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั้น “เป็นการแข่งขันที่เชือดเฉือนกันสุด ๆ (Cutthroat Business)” ซึ่งถูกครอบงำโดยผู้เล่นยักษ์ใหญ่จากจีน (เช่น CATL, BYD) และเกาหลีใต้ การที่ผู้เล่นรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันและทำกำไรนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังมีความเปราะบางจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ “ตราบใดที่ยังมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็จะเล่นเกมการเมืองกัน เราเห็นจีนแบนการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ สหรัฐฯ ก็ออกมาตรการกีดกันทางการค้า ทุกอย่างจึงเปราะบาง” Dr. Whittingham กล่าว
เมื่อตลาดโลกแข่งขันสูง แล้วประเทศไทยควรเดินไปทางไหน? ในด้านความท้าทายของไทย ดร. พิมพา ชี้ว่าแม้ภาครัฐจะพยายามเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แต่ไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
ด้าน Dr. Whittingham ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจสำหรับประเทศในอาเซียนว่า “อย่ากระโดดลงไปแข่งขันในตลาดแบตเตอรี่ EV โดยตรง” แต่ให้มองหา “ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)” ที่มีศักยภาพแทน อย่างเช่น
ทั้งสองท่านเห็นตรงกันว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ นั่นคือ
1. ความปลอดภัยต้องมาก่อน
Dr. Whittingham ย้ำว่า “แบตเตอรี่ราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นอันตรายอย่างยิ่ง” และจำเป็นต้องมีการควบคุมการผลิตที่เข้มงวด สอดคล้องกับ ดร. พิมพา ที่มองว่าหากเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยบ่อยครั้ง อาจกลายเป็น “ตัวหยุดยั้ง (Show Stopper)” ที่ทำให้คนไม่กล้าใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งเป็นที่มาของการจัดตั้งเครือข่ายความปลอดภัยแบตเตอรี่แห่งอาเซียนขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างมาตรฐานร่วมกัน
2. อนาคตของการวิจัยและพัฒนา
Dr. Whittingham ในฐานะเจ้าของรางวัลโนเบล ชี้ว่าก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีต่อไปคือ “การแทนที่ขั้วแอโนดแกรไฟต์” ด้วยวัสดุอื่น เช่น โลหะลิเธียม ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่มีความจุพลังงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหญ่ที่ทั้งสหรัฐฯ และไทยเผชิญเหมือนกันคือสิ่งที่ Dr. Whittingham เรียกว่า การเชื่อมโยงเทคโนโลยี (Bridging Technology)” หรือการนำผลงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการออกมาสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ให้ได้จริง ซึ่งตรงกับภารกิจของสมาคม TESTA ที่ ดร. พิมพา และนักวิจัยท่านอื่น ๆ พยายามสร้างขึ้นเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรม
อนาคตของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับประเทศไทยและอาเซียนเต็มไปด้วยโอกาส แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ไม่ใช่การแข่งขันซึ่งหน้ากับยักษ์ใหญ่ แต่เป็นการหาช่องว่างในตลาดเฉพาะกลุ่ม สร้างความร่วมมือในภูมิภาค ให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรฐานและความปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างกลไกเพื่อเปลี่ยน “องค์ความรู้” ให้กลายเป็น “ผลิตภัณฑ์” ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney