นายกรัฐมนตรีเปิดประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 “ASEANAPOL” ที่มีตำรวจไทยเป็นเจ้าภาพ ลั่นการประชุมครั้งนี้สอดคล้อง นโยบายรัฐบาลที่บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะยกเรื่องสแกมเมอร์ เรื่องค้ามนุษย์และเรื่องยาเสพติดมาเป็นวาระของภูมิภาค ยันทุกหน่วยเกี่ยวข้องจะทำ ด้วยความเด็ดขาดและเข้มงวด ขณะที่ ผบ.ตร.ชี้ปัจจุบันอาชญากรรมฉ้อโกงออนไลน์เป็นแค่ฉากหน้า แต่เบื้องหลังคือ “การค้าทาสยุคดิจิทัล เป็นเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน” ล่อลวงผู้หางานจากทั่วโลกมากักขังบังคับให้ทำงานในศูนย์ฉ้อโกงออนไลน์ พร้อม เสนอ 3 แนวทางสกัดตำรวจไทยชู 3 แนวทางป้องกันภัยออนไลน์ที่ยกระดับเป็นปัญหาวิกฤติ-เครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 พ.ย. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 (The 43rd ASEANAPOL CONFERENCE) ภายใต้หัวข้อ “ร่วมมือปฏิบัติการ : ปราบปรามการหลอกลวง ขัดขวางการฉ้อโกงและปกป้องประชาชน” หรือ “Collaboration in Action: Crushing Scam, Disrupting Fraud, and Protecting People” ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย.68 มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง ตร. เข้าร่วมประชุม โดยการประชุมครั้งนี้เป็นเวทีหลักสำหรับความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสประมาณ 280 คน พร้อมคู่เจรจาและผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศรวม 30 ประเทศนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวเปิดประชุมว่า การปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงการค้ามนุษย์ ไซเบอร์สแกมเมอร์ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทำอยู่ฝ่ายเดียว ยังหาความร่วมมือในประเทศภูมิภาคอาเซียน ยืนยันว่าทุกหน่วยงานจะทำด้วยความเด็ดขาดและเข้มงวด เห็นการนำเสนอข่าวการพาดหัวข่าวว่าไม่ทำไม่ใส่ใจทั้งที่เราทำมาตลอด ต่อมานายอนุทินตอบข้อถามผู้สื่อข่าวกรณีเรื่องนี้มักมีบุคคลสำคัญและนักการเมืองอยู่เบื้องหลังว่า ได้หารือ ผบ.ตร. เลขาธิการ ปปง. และ รมว.ยุติธรรม ทำงานแบบปิดชื่อดูพฤติกรรม ไม่ว่าไปโดนใครไม่ยกเว้น เราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร กินเงินเดือนภาษีจากประชาชน ขอให้เลิกกังวลนายอนุทินยังให้สัมภาษณ์กรณี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร.เสนอความคิดส่งตำรวจไทยไปสังเกตการณ์ปราบสแกมเมอร์ที่กัมพูชาว่า ก็ดีเขามีความร่วมมือกันอยู่แล้ว วันนี้ ผบ.ตร.ประชุมตำรวจอาเซียนแล้ว ท่านได้ยกเรื่องสแกมเมอร์ เรื่องค้ามนุษย์และเรื่องยาเสพติดมาเป็นวาระของภูมิภาคนี้ เมื่อถามว่า มีโอกาสที่ไทยจะส่งตำรวจไปที่กัมพูชาหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ต้องมีสิ สื่อต้องไปถาม ผบ.ตร. นโยบายรัฐบาลมีความชัดเจนให้ไปสั่งข้ามหัวใครคงไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าพร้อมสนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “ใช่ครับ ทั้งเรื่องงบประมาณ ทั้งเรื่องการสนับสนุนบูรณาการ ทรัพยากร รัฐบาลก็ทำและรัฐบาลก็รับไปปฏิบัติ”ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.กล่าวว่า หัวข้อการประชุมปีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยของประชาชน ปัจจุบันอาชญากรรมทางไซเบอร์แปรสภาพเป็นระบบแสวงหาประโยชน์ขนาดใหญ่มีการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ “ขบวนการฉ้อโกง” แต่คือ “เครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน” ที่ล่อลวงผู้หางานจากทั่วโลกมากักขังบังคับให้ทำงานในศูนย์ฉ้อโกงออนไลน์ อาชญากรรมฉ้อโกงออนไลน์กลายเป็นฉากหน้าของขบวนการกระทำความผิดแบบครบวงจร เป็นวิกฤติการค้ามนุษย์ การฉ้อโกงคือเครื่องมือ แต่การแสวงหาประโยชน์จากมนุษย์คือผลลัพธ์ที่แท้จริง สิ่งที่เรากำลังเผชิญไม่ใช่ความท้าทายด้านการบังคับใช้กฎหมาย แต่คือวิกฤติด้านมนุษยธรรม ในยุคดิจิทัลเป็นการค้าทาสรูปแบบใหม่ เป็นการละเมิดคุณค่าที่เราทุกคนยึดถือ ในฐานะผู้พิทักษ์ความยุติธรรม เราได้เห็นความสำเร็จของปฏิบัติการร่วมที่ช่วยเหลือเหยื่อและจับกุมหัวหน้าขบวนการ การดำเนินการลักษณะนี้ต้องไม่เลือกปฏิบัติ พรมแดนของเราไม่ควรเป็นเส้นทางสำหรับการกระทำความผิดของขบวนการค้ามนุษย์ แต่ควรเป็น “แนวป้องกัน” คุ้มครองผู้บริสุทธิ์และผู้เปราะบางผบ.ตร.กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย ได้เสนอแนวทางในการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ ใน 3 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 : การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติการข้ามพรมแดน มีการแลกเปลี่ยนข่าวกรองแบบเรียลไทม์ จัดทำมาตรฐานการสืบสวนที่สอดคล้องกัน และวางระบบปฏิบัติการร่วมกันในการปราบปรามศูนย์ฉ้อโกงออนไลน์ ควรจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจด้านไซเบอร์สแกมและการค้ามนุษย์ภายใต้กรอบอาเซียน และร่วมกันวางแผนปฏิบัติการข้ามพรมแดน แนวทางที่ 2 : การยกระดับศักยภาพด้านดิจิทัล จำเป็นต้องเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิกอาเซียน จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางด้านการสืบสวนอาชญากรรมทางไซเบอร์ และพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ระดับภูมิภาคร่วมกัน เพื่อให้สามารถบันทึกและเข้าถึงข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล รูปแบบการฉ้อโกง และที่อยู่ IP ที่ต้องสงสัยได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวต่อด้วยว่า แนวทางที่ 3 : การคุ้มครองเหยื่อและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่ต้องได้รับการฝึกฝนให้สามารถคัดแยก เพื่อเข้าระบบช่วยเหลือและคุ้มครองเหยื่อ พร้อมทั้งจับกุมและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ข้อมูล คำให้การ และพยานหลักฐาน ต้องได้รับการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการคัดกรองเหยื่อที่มีประสิทธิภาพ และกลไกส่งต่อไปยังหน่วยงานช่วยเหลือที่เข้มแข็ง ทั้งนี้หากเราทำงานเพียงลำพัง ขบวนการเหล่านี้จะยังคงใช้พรมแดนระหว่างประเทศเป็นช่องว่างในการกระทำความผิด แต่หากเราร่วมมืออย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และมียุทธศาสตร์ จะยับยั้งทำลายเครือข่ายขบวนการได้ และยังสามารถปกป้องศักดิ์ศรีของมนุษย์ในภูมิภาคนี้ได้ด้วยเช่นกัน จากนี้ ASEANAPOL จะไม่ใช่เพียงเวที แต่คือพลังแห่งความยุติธรรม ความเป็นหนึ่งเดียว และความเป็นมนุษย์ ขอให้พวกเราทุกคนร่วมกันยกระดับพลังงานนั้นไปด้วยกันด้าน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า การประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 มีรอง ผบ.ตร.กัมพูชา มาร่วมประชุมด้วย ได้พูดคุยกันเบื้องต้นว่า ตำรวจกัมพูชาตั้ง 2 ทีมใหญ่เพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะพยายามประสานกับกัมพูชา ตามข้อตกลง 4 ข้อที่นายกรัฐมนตรีลงนามไว้ จะคอยติดตามดูว่ากัมพูชาจะทำให้แค่ไหน ส่วนจะมีการพูดคุยอย่างเป็นทางการแบบทวิภาคีและมีการลงนามหรือไม่นั้น ประเทศไทยทำไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในการประชุมครั้งนี้จะมีการประชุมแต่ละประเทศ จะหารือระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย ส่วนสแกมเซ็นเตอร์เป็นเรื่องที่ทุกคนร้องขอทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และจีน ทุกคนต้องพูดคุยกัน ต้องเป็นความร่วมมือระดับโลกที่ต้องร่วมมือกัน แม้กัมพูชาไม่ได้ร้องขอมา แต่ทุกประเทศต้องการพูดคุยเรื่องนี้ หากกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือก็ต้องลองกันผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมนี้ตนต้องการคุยกับกัมพูชาในการส่งตำรวจเข้าไปประจำอยู่ในกัมพูชาเพื่อสังเกตการณ์ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์และอาชญากรรมออนไลน์ แต่อำนาจหน้าที่และกฎหมายไม่สามารถไปจับกุมหรือสอบสวนในประเทศนั้นได้ เป็นแค่การทำงานใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ส่วนประเทศไทยจะยังคงทำงานสืบสวนสอบสวน และระบุเป้าหมายของสแกมเมอร์ต่างๆ ที่สำคัญต้องส่งทีมไปแลกเปลี่ยนข้อมูลในการลงพื้นที่ ส่วนตัวเชื่อว่าดีกว่าจะสังเกตการณ์อยู่ฝั่งไทย หากถูกไล่กลับมาหรือถูกหลอกก็ต้องยอม เราต้องสู้จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้ กัมพูชาจะทำหรือไม่ ให้ทุกประเทศในโลกตัดสิน เพราะเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของทุกประเทศในขณะนี้ ในส่วนของประเทศไทยยืนยันว่าไม่มีสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ มีเล็กๆที่แอบทำ เมื่อไหร่ที่เรามีข้อมูลจากประเทศเราเอง หรือจากตำรวจต่างประเทศพร้อมจับทันที การันตีได้ว่าขอให้แจ้งมาว่าศูนย์สแกมเมอร์อยู่ที่เรา ยืนยันจับได้แน่นอน พวกนี้อาจอยู่ในประเทศไทยพล.ต.ท.จิรภพกล่าวอีกว่า ถึงแม้เคยผิดหวังกัมพูชา แต่รอบนี้สังคมโลกเห็นชัดว่าสแกมเมอร์อยู่ที่ไหน หวังว่าสักวันกัมพูชาจะร่วมมือด้วยพลังของนานาประเทศที่ไปพูดคุย ส่วนจะต่อสายตรงกับตำรวจกัมพูชาได้หรือไม่ เรามีช่องทางติดต่อ แต่หากไม่ให้ความร่วมมือเต็มที่ ต้องใช้สังคมโลกกดดัน เพราะสแกมเมอร์ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยประเทศเดียว อีกทั้งในกลุ่มของสแกมเมอร์พูดได้หลายภาษา ไทยจะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมให้กัมพูชาเรื่อยๆ ใช้วิธีส่งไปทีละเป้าหมาย ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ส่งเพิ่ม ส่วนจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ความร่วมมือของกัมพูชา จะดูจากผลปฏิบัติเป็นหลักอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่