“ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้มีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงเยี่ยมราษฎรทั่วประเทศมานานหลายปี ได้แลเห็นพระวิริยะอุตสาหะและพระราชศรัทธา ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งยังทรงสอนเรื่องการทำงานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระราชปณิธาน และได้ตั้งใจปฏิบัติงานที่ทรงมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ คืองานด้านสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ได้แก่การช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยเหลือทางด้านสวัสดิการครอบครัว และส่งเสริมอาชีพทางด้านหัตถกรรม เพราะงานเพื่อประชาชนทั้งหลายมีความสำคัญเสมอกัน ย่อมต้องปฏิบัติไปพร้อมๆกัน จะละเว้นทางหนึ่งทางใดเสียมิได้”...พระราชดำรัสดังกล่าวของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม ราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ซึ่งพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯถวาย พระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530 คงพอสะท้อนได้ดีถึงน้ำพระราชหฤทัยอันยิ่งใหญ่ที่ทรงห่วงใยในทุกข์สุขของประชาชนคนไทย “ขาดทุนของฉันคือกำไรของแผ่นดิน” พระราชดำรัสสุดอมตะนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของปวงชนชาวไทย เมื่อปี 2540 “สมเด็จพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง” เสด็จเยี่ยมราษฎรที่บ้านขุนแตะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีราษฎรชาวไทยภูเขาราว 200-300 คน มาเข้าเฝ้าฯ และขอพระราชทานความช่วยเหลือของานทำ ด้วยแต่ก่อนเคยติดยาเสพติด แต่ขณะนี้ได้รับการบำบัดหายแล้ว จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้คณะทำงานออกหาพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อจะทำ “ฟาร์มตัวอย่าง” และให้พวกชาวเขาที่เลิกยาเสพติดมารับจ้างทำงาน จึงถือกำเนิดเป็นฟาร์มตัวอย่างแห่งแรก เมื่อแรกดำเนินงานได้จ้างชาวเขาทำงานวันละ 40 คน เพื่อให้คุ้มกับผลประกอบการ กระนั้น เมื่อคณะผู้ทำงานได้เข้าเฝ้าฯกราบบังคมทูลถวายรายงานการดำเนินงาน จึงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าไม่ถูกพระราชประสงค์ ด้วยมีชาวเขาจำนวนมากที่มาของานทำ แต่ฟาร์มตัวอย่างจ้างไว้แค่ 40 คน พระองค์รับสั่งประโยคอมตะ “อย่ามาพูดเรื่องกำไรขาดทุนกับฉันนะ ฉันต้องการให้คนจนมีงานทำมากๆ ขาดทุนของฉันคือกำไรของแผ่นดิน” การทำให้คนยากจนในชุมชนมีงานทำนั้น ทำให้เขามีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัว ไม่ต้องไปเป็นโจรเป็นขโมย หรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่า ไม่ไปเผาป่า เมื่อชุมชนมีความสุขสงบ สังคมก็สุขสงบ ประเทศชาติก็จะมีความสุขสงบ นี่แหละคือ “กำไรของแผ่นดิน” ที่แท้จริง “ไปบอกเจ้าหนี้นะคะ ว่าพระราชินีจะใช้หนี้ให้” นายแพทย์ภากร จันทนมัฎฐะ บอกเล่าถึงความประทับใจระหว่างมีโอกาสปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ติดตามเสด็จ ความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นสมเด็จพระราชินีประทับพับเพียบกับพื้น และไถ่ถามราษฎรถึงความทุกข์ยากของเขาเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง ทั้งที่พระชนมายุเพียงนี้แล้ว แต่หลายครั้งที่พระองค์ทรงงานนานถึง 6 ชั่วโมงโดยมิได้ลุกเลย เพื่อให้การดูแลผู้ยากไร้อย่างดีที่สุด ครั้งหนึ่งข้าพเจ้านั่งใกล้พระองค์ท่าน จนได้ยินการสนทนา และทราบว่าหญิงชาวบ้านผู้มาเข้าเฝ้าฯนั้นมีความทุกข์เรื่องหนี้สิน เพราะสามีจากเธอไป และทิ้งเธอให้เผชิญหนี้สินตามลำพัง พร้อมด้วยลูกเล็กๆอีก 2 คน ทรงมีรับสั่งถามว่าเป็นหนี้เท่าไหร่ เธอผู้นั้นไม่ยอมตอบเพียงแต่ทูลว่า หนี้นั้นมากมายเหลือเกิน และข้าพเจ้าได้ยินสมเด็จพระราชินีรับสั่งว่า “ไปบอกเจ้าหนี้นะคะ ว่าพระราชินีจะใช้หนี้ให้” ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแผ่นดินประทับอยู่ท่ามกลางชาวบ้านยากไร้ ทรงมอบความรักความช่วยเหลือให้ ส่วนเด็กๆจะได้รับขนมแจก ผู้ป่วยจะมีแพทย์ดูแล ผู้สูงอายุจะได้รับแว่นสายตา ผู้ยากไร้จะได้รับพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องทุนรอน ไม่มีผู้ใดที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่า ต้องใช้พระราชทรัพย์มากเพียงใด เพราะทุกครั้งที่ราษฎรนำผลผลิตของตนมา ก็ได้รับคำตอบว่า “พระราชินีรับซื้อทั้งหมดค่ะ” พระองค์ต้องใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวายเข้ามูลนิธิศิลปาชีพ ช่วยเหลือผู้คนที่สังคมส่วนใหญ่พากันลืมเลือน ผู้คนที่ไม่มีโอกาส พระองค์ได้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้แก่คนยากไร้ที่มิได้รับความใส่ใจจากผู้ใด เสียดายที่หลายครั้งโทรทัศน์ไม่อาจถ่ายทอดความรักความเอื้ออาทรของพระองค์ได้” “ทรงอ่านความทุกข์จากแววตา” ท่านผู้หญิงพรรณวดี จุฑารัตกุล นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ย้อนรำลึกความทรงจำว่า “สิ่งที่พวกเรายอมรับในพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านคือ ทรงมีสายพระเนตรที่ฉับไวมาก ปกติทุกครั้งที่มีชาวบ้านเข้าเฝ้าฯ จะมีคณะทำงานที่ไปล่วงหน้าเพื่อคัดเลือกชาวบ้านมาให้การรักษา เลือกไปเถิด มองไปเถิด สามสี่รอบก็มองไม่เห็น แต่พอพระองค์เสด็จฯผ่าน ต่อให้นั่งอยู่ไกลแค่ไหนก็ทอดพระเนตรเห็น ทรงชี้ให้พวกเราดูว่าคนนั้นป่วยใช่ไหม แล้วก็เป็นจริงตามนั้น ท่านทรงชี้ถามคนไหน คนนั้นเจ็บหนักทุกข์หนักทุกคน...ทรงสอนว่า เวลาจะดูประชาชนคนไหนเจ็บป่วยหรือมีความทุกข์ ให้ดูที่แววตา ดูที่ใบหน้า เพราะตาจะบอกทุกอย่างถึงความทุกข์ ให้มองลึกเข้าไป ค่อยๆคุยกับเขา จะดูจากเสื้อผ้าหรือการแต่งกายภายนอกไม่ได้ เพราะเวลามาเข้าเฝ้าฯ ชาวบ้านจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุดอยู่แล้ว” “ไม่มีวันไหนที่จะหยุดทรงงานเพื่อแผ่นดิน” ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง บอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยว่า “พระองค์ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา พระองค์มีแต่ให้ แล้วสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ทรงให้มา ก็คือสิ่งที่ถาวร ทรงทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดี กินดี ให้ประชาชนมีกินไปชั่วลูกชั่วหลาน พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ในโครงการต่างๆ มันไม่เป็นตัวเงินที่เอามาแจก คนนั้นเอาไปเท่านี้ คนนี้เอาไปเท่านั้น เงินใช้เมื่อไหร่ก็หมด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ให้เป็นสิ่งถาวร เป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับบ้านเรา คู่กับแผ่นดินเรา ทรงให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เชิดหน้าชูตาประเทศชาติ พระองค์ทรงทำงานศิลปาชีพขึ้นมา เป็นมรดกของชาติ งานเหล่านี้ไม่ได้ทำวันนี้พรุ่งนี้เสร็จ แต่ทรงทำมานับสิบปี ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งนั้น จนบัดนี้มรดกของชาติ ทั้งถมทอง งานคร่ำ ที่เกือบจะสูญหายไป ถูกนำกลับมาสืบสานไว้แล้ว อยากให้ทุกคนได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ และมองดูพระองค์ด้วยว่า ทรงทำงานอย่างไร พูดภาษาง่ายๆ พระองค์ทรงทำงานด้วยหัวใจ ทรงทำงานทุ่มเททั้งหัวใจของพระองค์กับประชาชนคนไทยด้วยความรัก ทรงนึกถึงประชาชนของพระองค์ตลอด ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้กับคนไทย ไม่มีวันไหนเลยที่จะทรงหยุด” “ความฝันอันสูงสุด” ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ลัทธิทางการเมืองคอมมิวนิสต์ได้พยายามแทรกซึมเข้ามาในหมู่คนไทย เกิดการสู้รบปะทะกันอย่างหนักทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียระหว่างคนไทยด้วยกันอย่างมาก ทั้งทหารและตำรวจได้สละชีพ เป็นจำนวนมาก “สมเด็จพระบรมราชชนนี พันปีหลวง” ทรงสะเทือนพระทัยยิ่งในความเสียสละของเหล่าผู้กล้าในสมรภูมิ ได้เสด็จฯไปยังสมรภูมิเหล่านั้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารและตำรวจ ด้วยทรงทราบดีว่าขวัญและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญของการปฏิบัติงาน พระองค์ยังมีพระราชประสงค์จะพระราชทานกำลังใจแก่บรรดาข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ และพลเรือน มิให้ท้อถอยในการปฏิบัติหน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ “ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค” เขียนคำกลอนเตือนใจ แล้วพิมพ์แจกเหล่าข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ และพลเรือน ต่อมาทรงกราบบังคมทูลขอให้ “พระบาท สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” พระราชทานทำนองเพลง จึงกลายเป็นที่มาของเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ที่ยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม